เผลอไปนิดเดียว เราก็กำลังจะก้าวเข้าสู่ปี 2020 กันแล้ว เร็วอย่างไม่น่าเชื่อ และ สิ่งที่เปลี่ยนแปลงเร็วไปพร้อมกับวันเวลาของโลกที่หมุนไปก็คือ เทคโนโลยี เมื่อเทคโนโลยีเปลี่ยนก็ทำให้ความสนใจของพวกเราเปลี่ยน และเมื่อความสนใจของผู้คนเปลี่ยน ความต้องการก็เปลี่ยนไป นั่นจึงทำให้ความต้องการของผู้บริโภคยุคนี้เปลี่ยนแปลงไปเร็วมาก ความต้องการของผู้บริโภคจึงเป็นปัจจัยสำคัญที่กำหนดทิศทางการทำการตลาด เทรนด์การตลาดที่จะเกิดขึ้นในปี 2020 นี้ไม่อะไรหลายอย่างที่เปลี่ยนแปลงไป แต่ยังคงมี 1 สิ่งที่จะยังคงอยู่นั่นคือ brand story คงอยู่แต่ก็มีการเปลี่ยนแปลงเหมือนกัน แต่เปลี่ยนในแง่ของความสำคัญที่เพิ่มมากขึ้น
มาดูกันดีกว่าว่าเทรนด์การตลาดในภาพรวมๆของปี 2020 จะมีอะไรที่เกิดขึ้นบ้าง และ brand story จะยังคงมีบทบาทกับการทำการตลาดในยุค Data Marketing นี้อย่างไรกันบ้าง
1. Experience First ประสบการณ์ของผู้บริโภคมาเหนือสิ่งอื่นใด
ในปี 2020 เทรนด์การตลาดจะขยับเปลี่ยนรูปร่างและทรานฟอร์มจาก Digital Marketing ไปสู่การเป็น Data Marketing เพราะเทคโนโลยีความทันสมัยเกิดขึ้นแล้ว และจะยังคงเดินหน้าต่อไปแบบไม่หยุดยั้ง แต่สิ่งที่คนยังคงรู้สึกว่าต้องการเคียงคู่ไปกับเทคโนโลยี Digital ก็คือ Data ข้อมูล ความรู้ ความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว หรือความเป็นหนึ่งเดียวที่ไม่เหมือนใคร เทคโนโลยีแพลตฟอร์มทุกอย่างกำลังเร่งผลิตและถาโถมเข้ามา แต่ในมุมของผู้บริโภคกลับไม่รู้ว่า สิ่งเหล่านี้จะใช้ยังไง จะบริโภคอย่างไรให้เกิดประโยชน์ต่อตัวเองมากที่สุด ตอนนี้การเอาชนะใจผู้บริโภคจึงเป็นเรื่องที่ธุรกิจยุคใหม่พยายามจะหากลยุทธ์ใหม่ๆมาสู้กัน นั่นจึงทำให้ brand story หรือการทำธุรกิจให้มีเรื่องราวที่น่าจดจำ จึงยังคงเป็น Keyword สำคัญ
การที่ธุรกิจมี brand story หรือการที่ผลิตภัณฑ์และบริการของแบรนด์มีเรื่องราว เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ผู้บริโภคเกิดประสบการณ์ที่แปลกใหม่ได้ การนำผลิตภัณฑ์ของตนมาเสริมด้วยเทคนิค Storytelling หรือ การเพิ่มเรื่องราวลงไปในสินค้าและบริการของตนเอง จะเป็นสิ่งที่ทำให้ผู้บริโภคมีข้อมูลมากพอที่จะตัดสินใจซื้อ ในขณะเดียวกันหากแบรนด์ธุรกิจมีการ Storytelling ดีๆมีลูกเล่น ผู้บริโภคก็จะได้ประสบการณ์ที่แปลกใหม่ตั้งแต่ก่อนซื้อสินค้า และเมื่อซื้อไปแล้วก็อาจได้รับประสบการณ์ใหม่ๆอีกแบบจากสินค้าและบริการด้วย brand story จึงนับเป็น Data อย่างหนึ่งที่จะเปิดประสบการณ์ใหม่ให้กับผู้บริโภค
2. Group & Sub-culture Marketing แบ่งตลาดออกเป็นกลุ่มย่อย ๆ ตามวัฒนธรรมความชอบส่วนตัว
ในยุคนี้จะเกิดคำศัพท์ขึ้นมาคำหนึ่งนั่นคือ Sub-culture แปลตรงตัวว่าเป็น “วัฒนธรรมกลุ่มย่อย” อันหมายถึงคนกลุ่มหนึ่งที่มีความชอบความสนใจ มีทัศนคติและวิถีปฏิบัติแบบเดียวกัน ซึ่งอาจจะเป็นคนแค่กลุ่มหนึ่ง หลักสิบหลักร้อย แต่คนกลุ่มนี้ในยุคปัจจุบันมีพลังมาก สามารถที่จะสร้างกระแสอะไรบางอย่างให้เกิดขึ้นในสังคมได้ การตลาดแบบเดิมๆที่มาในลักษณะ “หว่าน” แบบไม่มีเป้าหมาย ต้องการให้เข้าถึงคนจำนวนมากๆจะใช้ไม่ได้ผลอีกแล้ว และจะกลายเป็นสิ่งที่ตกเทรนด์ไป การสื่อสารลงไปแบบเฉพาะกลุ่มนั่นจึงจะกลายเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นกับเทรนด์การตลาดในปี 2020 ซึ่งวิธีการสร้าง brand story ก็ถือเป็นหนึ่งในกลยุทธ์ Group & Sub-culture Marketing ด้วยเช่นกัน เพราะถ้าแบรนด์ของคุณถูกสร้างขึ้นมาเพื่อคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง สินค้าของคุณต้องการขายให้กับคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งโดยเฉพาะล่ะก็ การมี brand story ที่เป็นเอกลักษณ์จะทำให้กลุ่มเป้าหมายเข้าถึงสินค้าและบริการของคุณได้ง่ายมากขึ้น
3.One to One Communication การสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ คือ การสื่อสารเฉพาะบุคคล
วันนี้เราอยู่ในยุคที่เรามีเวลาเท่าเดิม คือ 24 ชั่วโมง แต่เรามีข้อมูลที่หลังไหลเข้ามามากขึ้น มากจนเกินกว่าเวลา 24 ชั่วโมงที่เรามีจะรับรู้และประมวลผลได้หมด Data จำนวนมหาศาลเริ่มถูกผู้บริโภคเลือก ถูกคัดกรอง ถูกแยกแยะ ว่าอะไรที่เหมาะสมกับตัวพวกเขาเอง การสื่อสารไหนที่เหมาะเจาะกับสถานการณ์ในตอนนั้นที่สุด ข้อมูลสินค้าไหนที่ตอบโจทย์ความต้องการของเขาได้ลงตัวที่สุดในช่วงเวลานั้นๆผู้บริโภคเขาก็จะเลือกซื้อสินค้านั้น เมื่อแบรนด์ธุรกิจมีมากมาย สินค้าประเภทเดียวกันก็มีมากมาย คำถามคือ แล้วทำไมเขาต้องเลือกซื้อจากแบรนด์ของคุณ ตรงนี้จึงทำให้ brand story รวมไปถึงการ Storytelling สินค้าและบริการมีบทบาทการสื่อสารขึ้นอย่างมากเลยทีเดียว
คุณไม่จำเป็นต้องสร้างแบรนด์ธุรกิจนี้เพื่อทุกคน หรือใครก็ได้อีกแล้ว แต่คุณต้องสร้างแบรนด์เพื่อคนใดคนหนึ่ง หรือเพื่อคนกลุ่มหนึ่งแบบเฉพาะเจาะจงเลย brand story จึงเป็นสิ่งที่จะแยกความแตกต่างคุณออกจาก แบรนด์อื่นๆในกลุ่มธุรกิจเดียวกัน brand story จะทำให้กลุ่มเป้าหมายรับรู้ได้ว่า คุณกำลังสื่อสารข้อความบางอย่างไปถึงพวกเขา และคุณกำลังสร้างบางสิ่งเพื่อพวกเขาอยู่
4. Cause Driven Brand Building แบรนด์จะแตกต่างและมีจุดยืนชัดเจน
แน่นอนว่า brand story ทำให้แบรนด์ธุรกิจเกิดความแตกต่าง แต่แค่แตกต่างไม่พอ brand story นั้นๆจะต้องสื่อสารให้ชัดเจนด้วยว่าคุณมีจุดมุ่งหมายเพื่อสังคม เพื่อประเทศ หรือ เพื่อโลกใบนี้ ประโยชน์จะต้องตกไปถึงคนหมู่มาก ซึ่งอาจจะดูย้อนแย้งอยู่บ้างตรงที่ ธุรกิจจะต้องสื่อสารเจาะจงเฉพาะเป็นรายบุคคล แต่ประโยชน์ที่เกิดขึ้นกับการขายผลิตภัณฑ์หรือบริการจะต้องตอบโจทย์สังคมในวงกว้างได้ด้วย ฉะนั้น ธุรกิจจะมีการสร้าง brand story มากขึ้น เพื่อแสดงออกถึงภาพลักษณ์ของแบรนด์ที่ชัดเจนว่า เกิดขึ้นมาเพื่อตอบโจทย์สังคม
5. Creative Data ข้อมูลจะถูกเติมด้วยความคิดสร้างสรรค์
Big data จะถูกนำมาใช้อย่างเป็นรูปธรรม แม้ในองค์กรเล็ก ๆ ก็จะเริ่มมีการใช้ประโยชน์จากข้อมูลที่มากมายเหล่านี้มากขึ้น ซึ่งการใช้งานจะไม่ได้เป็นเพียงการใช้งานแบบตรงๆแบบใครซื้ออะไร ซื้ออย่างไร และเข้าไปดูอะไรบ้าง แต่แบรนด์ธุรกิจต่างๆจะนำข้อมูลนั้นมาเติมเรื่องราวเพิ่มการ Storytelling ให้ข้อมูลสะท้อนกลับไปยังผู้บริโภคแบบน่าสนใจ ธุรกิจบางอย่างจะมีการแยกแบรนด์ และนำข้อมูลที่ได้รับมาสร้าง brand story ใหม่ เพื่อเจาะกลุ่มเป้าหมายโดยเฉพาะ
6. Shoppertainment การขายจะถูกเติมด้วยความบันเทิง
ธุรกิจต่าง ๆ จะเริ่มแข่งกันสร้าง brand story ให้แบรนด์มีเรื่องราว มีชีวิตชีวา เกิดเป็นความบันเทิงสำหรับผู้บริโภครูปแบบใหม่ และกลายเป็นความแตกต่างที่ชัดเจน ไม่ว่าจะขายสินค้าอะไร หรือให้บริการอะไร ทุกอย่างจะถูกเติมแต่งไปด้วยเรื่องเล่า และ story ดีๆทำให้มูลค่าของแบรนด์และผลิตภัณฑ์มีมากขึ้นกว่าเดิม คนจะซื้อไม่ได้ซื้อแค่ผลิตภัณฑ์ดี แต่ซื้อดีเรื่องราวของแบรนด์ หรือ ความสนุกสนานที่เกิดขึ้นจากเรื่องราวนั่นเอง ซึ่งอาจจะออกมาเป็นลักษณะ Live Commerce มากขึ้น ปีหน้าการขายจะมาผ่านรูปแบบการ Live ซึ่งเรื่องราวที่ปรากฏอยู่กับการ Live นั้นจะสร้างมูลค่าให้กับแบรนด์ สินค้า และคนขายไปในเวลาเดียวกัน และจะทำให้คนขายกลายเป็น Influencer ไปโดยปริยายเลยด้วย
ทั้งหมดนี้เป็นแค่ส่วนหนึ่งของเทรนด์การตลาดที่จะเกิดขึ้นในปี 2020 ซึ่งคุณจะเห็นเลยว่าเรื่องของการสร้าง brand story และการ Storytelling จะยังคงเกาะติดและมีความสำคัญไปกับเทรนด์การตลาดที่จะเปลี่ยนแปลงไปนี้อยู่โดยตลอดเวลา ฉะนั้น ใครที่กำลังคิดจะสร้าง brand story บอกเลยสร้างเถอะไม่ต้องลังเล เพราะไม่ว่าอะไรจะเปลี่ยนไปแค่ไหน ยังไงคนก็ยังต้องการบริโภคเรื่องราวอยู่ดี เพราะสิ่งนี้ทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างแม้จะจับต้องไม่ได้กลายเป็นสิ่งที่มีชีวิตและจับต้องได้ จึงทำให้เป็นสิ่งที่มีคุณค่าในสายตาพวกเขานั่นเอง