ในช่วงที่วิกฤตโควิด 19 ยังคงอยู่กับเราไปอีกสักระยะใหญ่ ๆ บวกกับภาวะเศรษฐกิจที่บอบช้ำอย่างรุนแรง คนทำธุรกิจส่วนใหญ่ต่างก็พากันหวั่นอกหวั่นใจ ไม่รู้ว่าจะรับมือกับสถานการณ์ต่าง ๆ เหล่านี้ได้นานแค่ไหน หลายบริษัทต้องปิดตัว หลายคนต้องเปลี่ยนอาชีพ ตอนนี้เราจึงเห็นผู้คนจำนวนไม่น้อยหวังพึ่งพาช่องทางออนไลน์เป็นการสร้างอาชีพและรายได้ให้กับตนเองและธุรกิจของตนเอง ธุรกิจไหนที่เคยอิงออฟไลน์เป็นหลักใหญ่วันนี้ก็เปลี่ยนมาเป็นอิงออนไลน์มากขึ้น เมื่อมีคนเข้ามาในตลาดออนไลน์กันเยอะขึ้น จึงทำให้บางธุรกิจอยู่ได้ลำบาก ยิ่งธุรกิจไหนแบรนด์ไหนไม่มีความแตกต่างหรือโดดเด่นเป็นที่รู้จักของผู้บริโภค ยิ่งแทบจะตายไปเลย กลยุทธ์ Storytelling เป็นสิ่งหนึ่งที่สามารถจะเข้ามาช่วยกระตุ้นการรับรู้และสร้างความแตกต่างให้กับธุรกิจคุณได้ ที่สำคัญยังเป็นกลยุทธ์อย่างหนึ่งที่ช่วยเพิ่มยอดขายให้กับธุรกิจคุณได้ในแบบที่คุณคาดไม่ถึงเลยทีเดียว
เล่าเรื่องราวขยายจุดขายของธุรกิจ
เชื่อว่าคนทำธุรกิจทุกคน ยิ่งโดยเฉพาะธุรกิจที่มีแบรนด์เป็นของตนเอง จะต้องบอกเลยว่าแบรนด์ตนเอง สินค้าและบริการของตนเองมีการ “จุดขาย” ซึ่งนั่นก็คือความโดดเด่นของธุรกิจตนเองนั่นเอง แต่จะดีจริงไหม แตกต่างจากสินค้าและบริการในกลุ่มเดียวกันที่มีอยู่ในตลาดเพียงพอที่จะกลายเป็นจุดขายนั่นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ซึ่งถ้าคุณสำรวจแล้วว่าธุรกิจคุณหรือแบรนด์ของคุณจุดขายก็จริง แต่นั่นก็ไม่ได้ดูแตกต่างไปจากคู่แข่งในตลาดเดียวกันสักเท่าไหร่ กลยุทธ์การวางคอนเซ็ปต์ให้กับแบรนด์ แล้วทำ Brand Storytelling ช่วยก็เป็นหนึ่งสิ่งที่ช่วยได้เหมือนกัน การที่คุณมี Brand Story นั่นก็นับเป็นจุดเริ่มต้นของการสร้างความแตกต่าง สิ่งเหล่านี้จะทำให้แบรนด์ของคุณดูน่าสะดุดตาสะดุดใจกับลูกค้ามากขึ้น และยิ่งคุณมีการ Storytelling สร้างเรื่องเล่าให้กับสินค้าและบริการของคุณร่วมไปด้วย ก็จะยิ่งทำให้จุดขายของคุณโดดเด่นและมีความชัดเจนขึ้น สิ่งนี้จะทำให้ธุรกิจของคุณฉีกออกมาจากคู่แข่งได้ แม้สินค้าและบริการจะเหมือนกัน แต่เรื่องราวจะทำให้ดูต่างและทำให้ดูมีคุณค่าน่าซื้อน่าใช้มากขึ้นนั่นเอง
นำ Storytelling มาสร้าง Gimmick
การทำธุรกิจจะมีแต่จุดขายในแบรนด์ จุดขายในสินค้าและบริการอย่างเดียวคงไม่พอ เพราะผู้บริโภคยุคนี้ละเอียดในการเลือกซื้อมากยิ่งขึ้น การที่จะโน้มน้าวให้เขาตัดสินใจซื้อได้ เราจึงจำเป็นที่จะต้องมีลูกเล่น หรือลูกล้อลูกชน เพื่อดึงดูดเขาให้เข้ามาสนใจเรา ซึ่งตรงนี้กลยุทธ์ Storytelling สามารถช่วยได้ การสร้างสรรค์เรื่องเล่าดี ๆ จะกลายเป็นสิ่งหนึ่งที่สื่อสารเข้าไปถึงความคิดของผู้บริโภค ผู้บริโภคจะค่อย ๆ เชื่อมโยงเข้ากับธุรกิจของเราผ่านเรื่องเล่าที่เราสร้างขึ้นมา กลไกก็จะคล้าย ๆ กับการใช้ Influencer ในการโน้มน้าว แต่การ Storytelling จะประหยัดงบประมาณมากกว่าถ้าคิดไปแล้วในระยะยาว เพราะ กลยุทธ์ Storytelling สามารถปรับใช้กับธุรกิจคุณเองได้หลายส่วนมาก แม้กระทั่งนำมาใช้สื่อสารกับคนในองค์กรเพื่อประสิทธิภาพในการทำงานร่วมกันที่ดีขึ้นก็ยังได้
ซึ่งเมื่อคุณมีการใช้กลยุทธ์ Storytelling ไม่ว่าจะออกมาในรูปของ Brand Story หรือการสร้างสรรค์เรื่องราวให้กับสินค้าแต่ละชิ้นแต่ละรุ่นก็ตาม สิ่งเหล่านี้จะกลายเป็นลูกเล่นที่มีเสน่ห์เฉพาะตัวให้กับแบรนด์ของคุณ และนั่นจะกลายเป็นสิ่งที่ช่วยดึงดูดกให้ผู้บริโภคเข้ามาใกล้เราและยอมเปลี่ยนใจมาเป็นลูกค้าเราในท้ายที่สุดนั่นเอง
เรื่องเล่าเข้าถึงได้ทุกช่องทาง
ตอนนี้ผู้คนไปกระจุกตัวอยู่ที่แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียไหน คนทำธุรกิจก็จำเป็นที่จะต้องย้ายตัวเองเข้าไปปักหลักอยู่ตรงนั้นด้วยเช่นกัน ซึ่งตรงนี้ก็เป็นปัญหาไม่น้อยสำหรับเจ้าของธุรกิจและนักการตลาด เพราะจะต้องปรับตัวและเข้าไปอยู่กับแพลตฟอร์มเหล่านั้น ซึ่งมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ยิ่งธุรกิจไหนเน้นเรื่องการทำ Content Marketing หนัก ๆ ด้วยล่ะก็ ยิ่งเหนื่อยเข้าไปใหญ่ เพราะจะต้องมานั่งคิดวิธีการปรับเนื้อหาให้สอดคล้องกับรูปแบบการนำเสนอของแพลตฟอร์มต่าง ๆ ซึ่งถ้าคุณลองเปลี่ยนวิธีการนำเสนอคอนเทนต์มาเป็นลักษณะ Storytelling คือทำเป็นเรื่องเล่ามากขึ้นก็จะช่วยลดปัญหาตรงนี้ลงไปได้ ไม่ต้องคิดเนื้อหาใหม่ใช่เรื่องเดิมแค่ปรับการนำเสนอนิดหน่อย เขียนสคริปต์เดียวก็สามารถนำเสนอได้ทุกแพลตฟอร์ม ประหยัดเวลาและแรงงานไปได้เยอะทีเดียว ตรงนี้นอกจากจะช่วยดึงดูดลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพเหมือนเดิมแล้ว ยังช่วยให้คุณมีเวลาไปพัฒนาสินค้าและหาวิธีกระตุ้นยอดขายวิธีอื่น ๆ ด้วย
นี่คือความเฉียบขาดที่น่าสนใจไม่น้อยของกลยุทธ์ Storytelling ซึ่งคุณจะเห็นได้เลยว่า ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้มีส่วนช่วยในการผลักดันยอดขายได้จริง ๆ ยอดขายจะมาก็ต่อเมื่อลูกค้าติดต่อเข้ามา และลูกค้าจะติดต่อเข้ามาได้ก็ต้องมีอะไรบางอย่างที่ดึงดูดเขาเข้ามา เรื่องเล่าดี ๆ ที่มีเนื้อหาน่าสนใจเป็นสิ่งที่ช่วยในเรื่องนี้ได้ คนทำธุรกิจทั้งหลายน่าจะลองนำไปพิจารณาปรับใช้กันได้แล้วนะ