เมื่อใคร ๆ ก็พูดถึง Big Data แล้วมันคืออะไรนะ ?

Big Data คืออะไร ทำไมใคร ๆ ก็พูดถึง แล้วถ้าองค์กรธุรกิจจะปรับใช้จะต้องมีการเตรียมตัวอย่างไรกันบ้าง มาหาคำตอบไปด้วยกัน

What-Is-Big-Data_001

ปี 2012 เป็นปีที่บารัค โอบาม่าชนะการเลือกตั้งและได้เป็นประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกาอีกครั้งเป็นสมัยที่ 2 เบื้องหลังความสำเร็จนี้ก็มาจาก 2 สิ่งนั่นคือ

  • Big Data
  • Data Science (Big Data Analytics)

ทีมของโอบาม่านำข้อมูลจำนวนมากมาใช้วิเคราะห์ผู้คนเพื่อจะได้สร้างแคมเปญหาเสียงที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูลได้อย่างตรงจุดแท้จริงและเข้าถึง นี่คือ ประสิทธิภาพของการวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่ ที่เห็นภาพจับจ้องได้อย่างเป็นรูปธรรมครั้งแรกของโลก

หลังจากครั้งนั้นทั่วโลกก็เกิดการตื่นตัวในเรื่องของ Big Data และ Data Science หรือวิทยาศาสตร์ข้อมูล และนำมาประยุกต์ใช้ในด้านต่างๆมากมาย จนเราได้เห็นกันอยู่รอบๆตัวเราทุกวัน เรื่องนี้จะไม่ใช่เรื่องไกลตัวพวกเราอีกต่อไป คุณคงพบอยู่บ่อยๆว่าเมื่อเราซื้อสินค้า 2 – 3 อย่างในเว็บไซต์ขายสินค้าออนไลน์ ระบบก็มักจะเสนอสินค้าอื่นๆที่โดนใจหรือใกล้เคียงกับที่เราซื้อขึ้นมา ซึ่งนั่นไม่ใช่การเดาสุ่ม แต่เป็นความสามารถของระบบที่สามารถเรียนรู้ข้อมูลของเรา รวมถึงข้อมูลจากผู้ซื้ออื่นๆอีกจำนวนมากนั่นเอง

Big Data คืออะไรกันแน่

หากจะกล่าวกันง่ายๆ Big Data ก็คือ ข้อมูลจำนวนมากมายมหาศาล ที่มาจากทั้งคน สัตว์ สิ่งของ สภาพแวดล้อม สิ่งมีชีวิตและสิ่งไม่มีชีวิต ทุกกิจที่ทำ ทุกถ้อยคำที่เราพูด อ่าน เขียน พิมพ์และบันทึกเอาไว้ในที่ต่างๆการเคลื่อนไหวของสิ่งมีชีวิต อย่างสัตว์ หรือการเปลี่ยนแปลงของธรรมชาติ การพัฒนาการของโรค เชื้อไวรัส และอื่นๆทุกอย่างล้วนเป็นข้อมูลทั้งหมด

What-Is-Big-Data_002

และเมื่อข้อมูลทั้งหมดนั้นถูกรวบรวมและจัดเก็บ ทั้งในแง่มุมที่ละเอียดลึกซึ้ง และในแง่มุมที่กว้างขวางหรือเก็บข้อมูลหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นในรูปแบบตารางรายการ หรือจะเป็นรูปแบบ Text ตัวอักษร ภาพ เสียง หรือ VDO ทั้งหมดทั้งมวลเมื่อรวมกันเข้าในทุกแง่ทุกมุมก็จะมีปริมาณที่มากมายมหาศาล จนไม่สามารถที่จะนำซอฟต์แวร์หรือฮาร์ดแวร์ธรรมดาทั่วไปมาประมวลผลได้ สิ่งเหล่านี้ เราเรียกกันว่า Big Data นั่นเอง

Big Data เริ่มต้นขึ้นเมื่อไหร่

การจัดเก็บข้อมูลแบบ Big Data จริงๆเพิ่งมีมาได้ไม่นาน ประมาณ 10 กว่าปีที่ผ่านมานี้เอง ต้นกำเนิดจริงๆมาจาก Google ที่ได้สร้างแพลตฟอร์มฐานข้อมูล เพื่อใช้เก็บคำต่างๆที่ผู้คนใช้ค้นหาในเว็บไซต์ Google ซึ่งเมื่อ Internet เข้าถึงผู้คนมากขึ้น การค้นหาสิ่งต่างๆผ่าน Google ก็มากขึ้นเป็นลำดับ ลองคิดดูว่าคนเป็นพันล้านคน พิมพ์คำค้นต่างๆไปที่เว็บ Google มากขนาดไหนในแต่ละวัน นั่นจึงทำให้ปริมาณคำค้นหาต่างๆนั้นมีมากมายมหาศาล และเพิ่มขึ้นตลอดทุกปี นั่นจึงทำให้ Google ต้องดีไซน์ฐานข้อมูลและวิธีการจัดเก็บข้อมูลให้แตกต่างออกไป จะจัดเก็บข้อมูลในระบบฐานข้อมูลแบบเดิมๆอย่างที่เรียกกันว่า Data Warehousing ก็คงไม่ได้อีกต่อไป เพราะนอกจากจะมีต้นทุนที่สูงขึ้นแล้ว ยังไม่ตอบโจทย์เรื่องการประมวลผลที่รวดเร็วอีกต่างหาก

ข้อมูลลักษณะไหนถึงจะเข้าข่าย Big Data

หลายๆองค์กรทั้งภาครัฐและเอกชน อาจจะสงสัยว่าแล้วข้อมูลที่เรามีอยู่ในบริษัทหรือองค์กรของเรานั้น ใช้ Big Data หรือไม่ เพราะข้อมูลเอกสารหรือไฟล์งานต่างๆของบางองค์กรก็มีอยู่เยอะ นับ 10 TB อย่างนี้จัดว่าเข้าข่ายหรือไม่ ฉะนั้นจึงต้องมาดูกันว่า Big Data จริงๆนั้นมีลักษณะอย่างไรกันบ้าง

1. Volume: ข้อมูลที่มีปริมาณมาก ยกตัวอย่างเช่น ข้อมูลของผู้ใช้งานโซเชียลมีเดีย Facebook, Twitter, YouTube หรือข้อมูลของลูกค้าร้าน Starbucks ที่มีสาขาอยู่ทั่วโลก หรือ ข้อมูลผู้ใช้งานโทรศัพท์จากทั่วประเทศ อย่างนี้เป็นต้น เอาง่ายๆหากธุรกิจคุณหรือองค์กรของคุณเกี่ยวข้องกับผู้คนจำนวนมาก ประมาณภูมิภาคในประเทศก็จัดว่าเป็น Big Data ได้แล้วล่ะ

2. Variety: ข้อมูลที่มีความซับซ้อนและหลากหลายสูง ยกตัวอย่างเช่นข้อมูลการรับชม YouTube ในแต่ละเดือน ที่มีมากถึง 4 – 5 พันล้านชั่วโมงแล้วในปัจจุบัน ซึ่งในจำนวนนั้น เป็นใครกันบ้าง เพศอะไร อายุเท่าไหร่ และรับชมอะไรบ้าง เป็นข้อมูลที่ถ้าแยกออกมาซับซ้อนและหลากหลายมาก

3. Velocity: ข้อมูลที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วหรือเปลี่ยนแบบเรียลไทม์ เช่น ข้อมูลการทำธุรกรรมทางการเงินของลูกค้าธนาคาร ที่มีทั้ง การฝาก ถอน โอน ชำระ ลงทุน อัตราการเปลี่ยนแปลงไหลเข้าออกของข้อมูลเกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา และข้อมูลต้องเป็นแบบเรียลไทม์ด้วย อย่างนี้เป็นต้น

4. Veracity: ข้อมูลที่ยังไม่สมบูรณ์ในตัวเอง ต้องผ่านการนำมาวิเคราะห์แยกแยะ จัดกลุ่มก่อนถึงจะนำไปใช้งานหรือประกอบการตัดสินใจได้

นี่คือ ส่วนประกอบ 4Vs ที่เป็นลักษณะของ Big Data หากข้อมูลในบริษัทและองค์กรของคุณมีครบทั้ง 4 องค์ประกอบนี้ล่ะก็นั่นหมายความว่า คุณอยู่ใกล้กับคำว่า Big Data เข้าไปแล้ว

เตรียมตัวหรือปรับตัวรับมือกับ Big Data อย่างไรดี

เชื่อว่าหลายๆองค์กรทั้งภาครัฐและเอกชนของไทยในวันนี้ เริ่มที่จะสัมผัสได้แล้วว่าองค์กรของตนเอง เข้าใกล้เรื่อง Big Data เข้าไปทุกที เพราะยิ่งนับวันปริมาณข้อมูลที่ไหลมาไหลไปในหน่วยงาน ยิ่งมากขึ้น และมีความซับซ้อนมากขึ้น จนบางครั้งจะตัดสินใจทำสิ่งใดๆที่มีผลต่อองค์กรต้องใช้เวลาในการสืบค้นข้อมูลนานมาก และถึงได้มาก็ไม่สามารถที่จะมาแยกแยะและประมวลผลจนทำให้ตัดสินใจร่างเป็นนโยบายหรือแผนธุรกิจได้เลย เพราะข้อมูลซับซ้อนเกินกว่าที่เราจะทำได้

สิ่งแรกที่ ผู้ประกอบการในระดับบริหารควรทำในตอนนี้เลยก็คือ จัดเตรียมทรัพยากรด้านเทคโนโลยีและระบบไอทีต่างๆขององค์กรให้พร้อมที่จะรองรับปริมาณข้อมูลอันมหาศาล นั่นคือ ควรจะต้องคิดถึงเรื่องการลงทุนในการสร้างศูนย์ข้อมูลออนไลน์หรือ Internet Data Center ให้กับองค์กรของคุณ

QuickServ ผู้นำด้าน IT Solution พร้อมสนับสนุนทุกองค์กรเพื่อเตรียมรับ Big Data

หากคุณไม่รู้จะเริ่มต้นอย่างไรจากจุดไหน เราขอแนะนำบริการจาก บริษัท ควิกเซิร์ฟ โปรไวเดอร์ จำกัดหรือ QuickServ บริษัทที่ให้บริการด้าน IT Solution แบบครบวงจร ที่พร้อมให้คำปรึกษาด้าน IT Solution กับองค์กรทั้งภาครัฐและเอกชน รวมไปถึงองค์กรธุรกิจทุกระดับ QuickServ สามารถให้บริการได้ทั้งเรื่องของการติดตั้งและดูแล Server การจัดหาอุปกรณ์จัดเก็บข้อมูล การวางระบบเครือข่ายในองค์กร ไปจนถึงการจัดการสร้างและดูแล Internet Data Center สำหรับองค์กรระดับ Enterprise ที่ต้องการเตรียมระบบเอาไว้รองรับเรื่องของ Big Data โดยเฉพาะ

data-center-by-quick-serv(1024x358)

QuickServ เป็นบริษัทที่มีศักยภาพสูง และมีความพร้อมที่จะช่วยสนับสนุนองค์กรธุรกิจขนาดใหญ่ต่างๆจัดเตรียมทรัพยากรเพื่อรองรับการประมวลผล Big Data การันตีโดยบริษัท Intel ที่ยกย่อง QuickServ ว่าเป็น Intel Technology Provider ในระดับ Platinum Partner เพียงรายเดียวในประเทศไทย นี่จึงยืนยันได้ว่า บริการด้าน IT Solution ของ QuickServ ไม่ธรรมดาสามารถตอบโจทย์องค์กรขนาดใหญ่ที่ต้องการเตรียมระบบไว้รองรับเรื่อง Big Data ได้เป็นอย่างดี

องค์กรธุรกิจไหนสนใจก็ลองเข้าไปดูรายละเอียดกันได้ที่ https://www.quickserv.co.th รับรองคุณจะต้องประทับใจการบริการของพวกเขา