เขียนเล่าเรื่องอย่างไรให้โดนใจคนจนต้อง Like Share และ Follow | EP.2

อยากเขียนเล่าเรื่องให้คนเกิดความประทับใจ ชอบจนต้องต้องกด Like และ Share ต่อ ควรเริ่มต้นอย่างไรดีนะ

Content-Writing-how-to successfully-write

Content Writing 101 : Ep.2

ประเด็นที่น่าสนใจ

  • การเขียนเล่าเรื่องให้คนสนใจ อ่านแล้วต้องกด Like หรือ Share ควรจะต้องเลือกประเด็นที่คนทั่วไปจับต้องได้ เป็นเรื่องที่ใกล้ตัวแต่คนมักมองข้าม
  • Storytelling มีความน่าสนใจตรงที่เป็นรูปแบบการเขียนที่สร้างสรรค์และสามารถที่จะพลิกแพลงได้อย่างไม่รู้จบ
  • การเขียนเล่าเรื่องก็คือการสื่อสารกับคนอื่น ซึ่งเวลาเราสื่อสารเรามักไม่สื่อสารกับใครด้วยเรื่องราวหรือภาษาที่ยาก ฉะนั้น จงย่อยเรื่องยากๆแล้วอธิบายใหม่ให้เป็นเรื่องง่ายๆให้ได้

ใน EP. ที่ผ่านมา เราได้คุยกันไปถึงเรื่อง “การตั้งชื่อเรื่องคอนเทนต์” ไปแล้ว อาจจะมีประเด็นที่น่าสนใจและรายละเอียดที่เราต้องมาคุยกันในเชิงลึกอีกครั้ง แต่ก็ขอยกไปเมื่อมีโอกาสแล้วกันนะครับ อยากให้บรรยากาศมันสบายๆเป็นกันเอง นึกอะไรได้ก็เอามาคุยกันดีกว่า เราไม่ได้มานั่งเรียนหนังสือกันนี่เนอะ เอาล่ะครับ สำหรับครั้งนี้ผมว่าจะมาชวนคุยเรื่องการเป็นนักเล่าเรื่อง หรือการทำ “Storytelling” ซึ่งปัจจุบันมี Content Creator ไปถึง Blogger, Vlogger, YouTuber อะไรเอ้อๆทั้งหลายนำไปใช้กันเยอะมาก แต่ไม่ว่าคุณจะเป็นเอ้อไหนก็ตาม จุดเริ่มต้นก็ต้องมาจากการ “เขียน” ทั้งนั้น ก่อนจะโพสต์เป็นบทความ ก่อนจะออกหน้ากล้องทำเป็นคลิป ก็ล้วนถูกสร้างจาก “คอนเทนต์ตัวอักษร” ก่อนทั้งนั้นครับ บางคนอาจจะทำเป็นฉบับร่างเอาไว้ เป็นไกด์ไลน์คร่าวๆบางคนก็อาจจะเขียนเล่าเรื่องเป็นสคริปต์อย่างจริงจังชัดเจนเลยทีเดียว ใช่แล้วครับครั้งนี้ผมจะมาชวนคุยในเรื่อง การ “เขียนเล่าเรื่อง” กันนั่นเอง

content-social-like

สิ่งที่อยากจะตั้งเป็นประเด็น ในการสนทนากันในวันนี้ก็คือ จะเขียนเล่าเรื่องอย่างไร ให้คนสนใจ อ่านแล้วต้องกด Like หรือ Share ทันที และประทับใจจนถึงขั้นกด Follow คุณแบบไม่รอช้า ผมขอเริ่มแบบนี้นะครับก่อนอื่นเลยต้องเข้าใจเราต้องเข้าใจบริบทของการเขียนเล่าเรื่อง หรือ การเขียน Storytelling ก่อน

การเขียนเล่าเรื่องในนิยามของผมแล้วก็คือ การเขียนเพื่อการสื่อสารอย่างหนึ่ง ซึ่งรูปแบบนี้สามารถที่จะสร้างสรรค์พลิกแพลงได้อย่างไม่รู้จบ แล้วแต่คนเขียนจะดีไซน์ออกมาว่าอยากจะสื่อสารกับผู้รับในแบบไหน อย่างเขียนประโยคคำถามขึ้นมาสักประโยคเช่น

กินข้าวแล้วหรือยัง

ผมอาจจะดีไซน์ออกมาเป็นเรื่องสั้นเรื่องหนึ่ง ที่ตัวมีตัวละคร 2 ตัว เป็นแม่กับลูก คนเป็นแม่อายุ 60 แล้ว คนเป็นลูกเป็นชายอายุ 30 ซึ่งคนเป็นลูกเอาแต่ทำงานๆ ไม่เคยคิดจะกลับไปหาแม่เลย เพราะเขาหวังเพียงจะได้เงินก้อนใหญ่สักก้อนจากการทำงาน และกลับบ้านไปพร้อมกับเงินก้อนนั้น เพื่อให้แม่ภูมิใจ แต่สำหรับคนเป็นแม่แล้ว ขอแค่เห็นหน้าลูกชายบ่อยๆได้นั่งกินข้าวกันบ้างแค่นี้ก็ชื่นใจแล้ว แม้ลูกจะไม่มีเงินกลับมาก็ตาม คนเป็นลูกพยายามอย่างหนักเพื่อให้มีเงินเพื่อชีวิตที่ดี แต่ไม่ว่าเขาจะพยายามแค่ไหนก็ดูเหมือนสิ่งที่เขาคิดเขาฝันมันจะห่างไกลไปทุกที เพื่อนร่วมงานพยายามพูดกับเขาด้วยอัธยาศัยไมตรีเมื่ออยู่ต่อหน้า แต่ลับหลังนินทาและพยายามที่จะพยายามแข่งขันเหยียบเขาเพื่อขึ้นไปใหญ่กว่า หัวหน้าก็เอาแต่กดดันโดยใช้จิตวิทยาขั้นสูง “พูด” เพื่อสร้างแรงบันดาลใจ เพื่อให้เขาฮึดสู้ แต่แท้จริงก็คิดแต่จะรวยฝ่ายเดียวโดยที่ไม่เคยเหลียวดูลูกน้อง และเมื่อวันหนึ่งเมื่อเศรษฐกิจมันพังจริงๆทุกอย่างต้องจบลง กิจการของบริษัทนี้เดินหน้าต่อไปไม่ได้ ไม่ว่าจะกี่คำพูดให้กำลังใจ ไม่ว่าจะกี่คำปลอบใจ ไม่ว่าจะกี่คำสรรเสริญกับผลงานที่ผ่านมาของชายผู้นี้ สำหรับเขาแล้วไม่มีค่าและความหมายอะไรเลย เขาเดินกลับบ้านด้วยจิตใจที่บอบช้ำ แต่เมื่อไปถึงหน้าบ้าน แม่ของผู้ชายคนนี้เปิดประตูออกมาต้อนรับลูกพร้อมกับคำพูดที่ว่า

“กินข้าวแล้วหรือยัง”

ชายผู้เป็นลูกน้ำตาร่วงพรูในทันใด เพราะไม่มีสิ่งใดจะมีคุณค่าและความหมายต่อจิตใจเขาเท่ากับคำพูดง่ายๆแต่มีความหมายลึกถึงความห่วงใยอันเป็นสายใยที่แม่มีต่อลูกแบบนี้อีกแล้ว

เห็นไหมครับว่า แค่ประโยคเดียว “กินข้าวแล้วหรือยัง” ก็สามารถทำให้ใครสักคนเป็น “นักเล่าเรื่อง” ได้แล้ว ผมเอาประโยคนี้มาดีไซน์ทำเป็น Storytelling ออกมาจนกลายเป็นเรื่องสั้นได้เรื่องหนึ่ง โดยต้องการสื่อสารกับคนอ่านหรือผู้รับสารว่า

“สายใยรักของครอบครัวมักเป็นสิ่งที่คนในสังคมทุกวันนี้ต่างลืมไป และคิดว่าเรามีชีวิตอยู่วันนี้ก็เพื่อหาเงิน แต่สุดท้ายแล้วไม่ว่าเราจะมีเงินมากหรือน้อย หรือไม่มีเลยก็ตาม เราทุกคนก็ยังมี “รัก” ที่หล่อเลี้ยงชีวิตเราอยู่เสมอ ซึ่งทำให้เราเห็นว่าเงินอาจไม่ใช่คำตอบทุกอย่างของชีวิตเสมอไป”

Chinese-in-thai
๑ พ่อค้าข้าวชาวจีน, ๒ ย่านการค้าบริเวณถนนเจริญกรุง และเวิ้งนาครเขษม ในสมัยรัชกาลที่ ๕, ๓ โรงสีข้าวส่วนใหญ่เป็นของชาวจีน คอยรับซื้อข้าวที่ล่องมาทางเรือ, ๔ ร้านค้าชาวจีนในย่านสำเพ็ง
เครดิตภาพจากศิลปวัฒนธรรม

ลองมาดูอีกสักตัวอย่างนะครับ จากประโยคเดียวกัน “กินข้าวแล้วหรือยัง” เชื่อว่าหลายคนต้องเป็นคนไทยเชื้อสายจีน มีความเป็นลูกมังกรอยู่ในตัวบ้างไม่มากก็น้อย ซึ่งถ้าใครที่มีครอบครัวเป็นคนจีนโพ้นทะเล เป็นจีนแต้จิ๋ว น่าจะเคยได้ยินป๊า ม้า หรืออากง อาม่า ทักทายกันด้วยคำว่า

“เจี๊ยปึ่งบ่วย”

ซึ่งแปลเป็นไทยแล้วก็คือ “กินข้าวแล้วหรือยัง” เคยสงสัยกันไหมครับว่า ทำไมคนจีนเขาต้องทักกันด้วยคำนี้ ซึ่งเรื่องมันมีอยู่ว่า คนจีนรุ่นเหล่ากงเหล่ามาเราที่เป็นชาวจีนโพ้นทะเล จะเป็นคนแต้จิ๋ว ฮกเกี้ยน หรือที่ไหนก็ตาม เขาต้องทิ้งบ้านทิ้งเมืองจีน ไว้ด้านหลังแล้วมอบเสื่อผืนหมอนใบล่องสำเภาจากจีนมาประเทศไทย เพื่อแสวงหาโชคลาภ ที่อยู่ที่กินที่ตั้งรกรากใหม่ ในสมัยนั้นคนจีนลำบากมาก ประเทศจีนค่อนข้างแร้นแค้น ชาวจีนที่อพยพมาก็ต้องทนอดมื้อกินมื้อในเรือ พอมาขึ้นฝั่งที่ไทยก็ต้องทนอดเหมือนเดิม กว่าจะตั้งตัวได้ก็ใช้เวลาในการ “อด” มากกว่าเวลา “กิน” เวลาคนจีนเจอหน้ากันบนแผ่นดินอื่น จึงต่างเป็นห่วงกันว่า ได้กินข้าวกันบ้างหรือยัง ใครพอมีก็จะนำมาแบ่งปันกันตามประสาลูกมังกรผลัดถิ่น นั่นจึงทำให้ คนจีนมักถามและทักทายกันด้วย คำว่า “กินข้าวแล้วหรือยัง” อย่างที่เราได้ยินกัน หลายคนอาจสงสัยว่า แล้วทักกันด้วยคำอื่นได้ไหม ฟังบ่อยมันเอียนๆ โอ้วแม่เจ้า คำนี้น่ะมันดีอยู่แล้ว เพราะมันสอดคล้องกับวิถีชีวิตทั้งคนไทยคนจีน คุณลองคิดดูว่า ถ้าเจอหน้ากันแล้ว เขาทักทายกันว่า

“สวัสดี เมนส์มาหรือยัง!!”

มันจะทำหน้ากันยังไง เอ้า ทักว่าเมนส์มาหรือยังพอรับได้นะ แต่ทว่าหากเขาทักกันว่า

“สวัสดี เมนส์หมดหรือยัง!!” แบบนี้มันจะยุ่งเอานะ เพราะมันดูหื่นๆหากคนตอบบอกว่า “หมดแล้ว” พร้อมจะ บะโอ้บะ กันในเร็วๆนี้แน่

เป็นอย่างไรบ้างครับกับตัวอย่างที่ 2 มาคนล่ะแนวกับตัวอย่างการเขียนเล่าเรื่องในแบบแรกเลย การเล่าเรื่องแบบที่สองนี้ดูกึ่งๆสารคดี มีเกร็ดประวัติศาสตร์อยู่นิดๆเป็นการเล่าเรื่องที่ให้ความรู้กับคนอ่านได้ด้วย ปิดท้ายกันด้วยอารมณ์ขันเล็กน้อยเพื่อไม่ให้เรื่องมันจริงจังเกินไป ลองนึกดูนะครับว่า ถ้าคุณเห็นคอนเทนต์ที่เป็นการเล่าเรื่องแบบนี้ในโซเชียลมีเดียต่างๆที่อาจส่งต่อมาจากเพื่อนคุณ คุณจะ Like ไหม จะ Share ต่อไปให้เพื่อนคนอื่นอีกไหม หรือ อยากจะตามหาต้นตอคนเขียนเพื่อไป Follow เขาหรือเธอบ้างไหม สำหรับผมแล้ว Like น่ะมีแน่ๆส่วนจะแชร์ต่อหรือ Follow หรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับอารมณ์อีกที (555 ติสท์แตกจริงๆพ่อคุณ)

นี่แหละครับเสน่ห์ของการทำ “Content เล่าเรื่อง” เพราะการเขียนเล่าเรื่องสามารถที่จะพลิกแพลงได้สารพัดรูปแบบ อ่านง่ายเข้าใจง่าย เข้าถึงได้ง่ายกว่า ไม่ว่าคุณอยากจะสื่อสารเรื่องที่เข้าใจยากแค่ไหน ถ้าคุณลองนำเทคนิค “นักเล่าเรื่อง” ไปใช้ คุณก็จะสื่อสารเรื่องยาก ๆให้คนเข้าใจได้ง่ายขึ้นแล้วครับ ซึ่งแบบนี้จะช่วยให้คุณสามารถเขียนคอนเทนต์ หรือเล่าเรื่องแล้วมีคน Like คน Share แน่นอน EP. ไว้เท่านี้นะครับ อ่อ สำหรับประเด็นนี้ยังไม่จบนะครับ เดี๋ยวผมจะมาชวนคุยกันต่อใน EP. ถัดไปเป็นตอนที่ 2 จะได้เป็นบทสรุปของประเด็นนี้ มาคุยกันต่อตอนหน้านะครับ ใครชอบก็อย่าลืม Like Share เผยแพร่และแบ่งปันคนอื่นด้วยนะครับ เดี๋ยวจะโดนหาว่าขี้งก

เครดิตภาพจาก : ศิลปวัฒนธรรม