เธอเดินมาช้า ๆ บนสะพานไม้กลางแปลงนา ความยาวของสะพานประมาณ 150 เมตร และเธอมาหยุดอยู่ตรงบริเวณกลางสะพาน จากนั้นก็ทอดสายตามองออกไปบนแปลงนาท่ามกลางธรรมชาติที่สวยสดงดงาม ภาพแห่งความเขียวขจีอันสะท้อนภาพแห่งความอุดมสมบูรณ์ของแผ่นดินนี้ทำให้เธออดที่จะยิ้มและรู้สึกภาคภูมิใจไม่ได้
“ป้าต้อย” ทุกคนในชุมชนเรียกเธอแบบนั้น และเธอก็รู้สึกยินดีเสมอที่ผู้คนที่ผ่านไปผ่านมาในพื้นที่ “ทุ่งนามอญบ้านบ่อทอง” เรียกเธอด้วยสรรพนามแบบนี้ ชื่อจริงของเธอคือ ธัณย์จิรา อาจอุดมรัตน์
ป้าต้อยคือคนปทุมธานีตัวจริง และเป็นลูกหลานเกษตรกรที่สืบสายบรรพบุรุษเลือดชาวมอญท้องถิ่นปทุมที่ยังมีลมหายใจ
ทุนนิยมบนโลกที่ขุ่นหมอง
โลกหมุนเวียนเปลี่ยนไป แต่ก็มีทิศทางมุ่งไปทางเดียวกัน คือ ความเป็นทุนนิยม วัตถุนิยมและบริโภคนิยม สิ่งเก่าถ้าไม่เปลี่ยนแปลงไม่ปรับตัว สังคมก็จะทำการคัดกรองออกไป กลายเป็นสิ่งที่ไม่สอดคล้องกับยุคสมัย
ในอดีตที่ผ่านมาป้าต้อยก็ยึดอาชีพเกษตรกรและยึดแนวทางการดำเนินชีวิตแบบครอบครัวชาวมอญดั้งเดิมแต่ ณ ทุ่งนามอญบ้านบ่อทองแห่งนี้ แต่กระแสของโลกทุนนิยมรุนแรงเสียจนพี่ป้าน้าอาคนในชุมชน ณ ทุ่งนามอญบ้านบ่อทองแห่งนี้ ก็เริ่มถอดใจจากอาชีพเกษตรกรกันไปทีละคนสองคน ไม่ต้องพูดถึงคนรุ่นใหม่ที่เติบโตมาในโลกทุนนิยมเต็มตัว มีจำนวนไม่น้อยที่ทิ้งบ้านทิ้งถิ่นไปหาอาชีพอื่นทำ
แม้แต่ป้าต้อยเองก็เช่นกัน ถึงจะรักในอาชีพเกษตรกรแค่ไหน แต่ก็เป็นเพียงเกษตรกรตัวเล็ก ๆ คนหนึ่งเท่านั้น เธอมิอาจจะต้านทานกระแสแห่งโลกทุนนิยมได้ เมื่อเป็นเช่นนี้เธอจึงหาอาชีพเสริม และเธอก็ผกผันตัวเองให้เข้าสู่ธุรกิจจัดเลี้ยงโต๊ะจีน โดยที่เธอก็ไม่เคยทิ้งความเป็นเกษตรกรไป เมื่อถึงช่วงหว่านก็จะกลับมาหว่านข้าว ถึงช่วงเก็บเกี่ยวก็กลับมาเก็บเกี่ยวผลผลิต
ตามหาความสุขกลับคืนมา
ป้าต้อยเฝ้ามองสิ่งที่เกิดขึ้นกับตนเองและคนในชุมชนอยู่ตลอดเวลา และดูเหมือนว่าชุมชนของเธอกำลังกลายเป็นชุมชนที่ขาดความสุข หลายบ้านต้องเปลี่ยนวิถีชีวิตจากเกษตรกรกลายมาเป็นหนุ่มสาวโรงงาน บางคนกลายมาเป็นมนุษย์เงินเดือนแบบเต็มขั้น ละทิ้งบ้านละทิ้งชุมชน นำแรงกายแรงใจ สติปัญญาและความสามารถไปพัฒนาให้กับระบบอุตสาหกรรมในท้องถิ่นอื่น ๆ ทำให้เมืองเจริญขึ้น ทำให้คนอื่นร่ำรวยขึ้น แต่…ที่บ้านและชุมชนของตนเองกลับเงียบเหงาเศร้าซึม ไม่มีชีวิตชีวา ไม่หลงเหลือเสน่ห์ดั้งเดิมที่คนรุ่นปู่รุ่นย่าสร้างกันมาอีกเลย
แม้ว่าจะมีคนบางส่วนในชุมชนที่ยังยึดวิถีเกษตรกรไว้อย่างเหนียวแน่น แต่ดูเหมือนว่าความสุขของทุกคนได้ขาดหายไป
“มันไม่ใช่แล้วล่ะ…คงต้องทำอะไรสักอย่าง ก่อนทุกอย่างจะสายเกินไป”
ป้าต้อยพูดกับตนเองอยู่ในใจ
หางหงส์ ธงตะขาบ
สิ่งที่จุดประกายและกลายเป็นแรงบันดาลใจให้เธอ มองเห็นช่องทางที่จะเปลี่ยนวิถีชีวิตของเธอและคนในชุมชนก็คือ “หางหงส์ ธงตะขาบ” งานหัตถกรรมที่เกิดจากความร่วมแรงร่วมใจของผู้เฒ่าผู้แก่ในชุมชน ทำขึ้นเพื่อใช้ในพิธีแห่หางหงส์ช่วงเทศกาลสงกรานต์ ชาวบ้านนำธงตะขาบไปประดับไว้ที่เสาหงส์ที่ตั้งตระหง่านอยู่ภายในวัดบ่อทอง ป้าต้อยจ้องมองไปที่ธงตะขาบ ที่กำลังโบกสะบัดพัดพลิ้วไปตามแรงลมบนเสาหงส์ ด้วยความประทับใจ จึงเกิดแรงบันดาลใจที่จะนำคนในชุมชนให้กลับมาสู่ความสงบเรียบง่ายอีกครั้ง ด้วยการกลับไปหารากเหง้าและตัวตนที่แท้จริงในแบบวิถีมอญ
ชาวมอญมีสิ่งสะท้อนอัตลักษณ์เฉพาะของตนเองหลายเรื่อง ทั้งประเพณีวัฒนธรรม ทั้งงานหัตถกรรมและศิลปกรรม และวิถีของชาวมอญนั้นก็ไม่ได้ดูขัดกับวิถีไทย ในทางกลับกันกลับเป็นวิถีที่สามารถผสมผสานเข้ากันได้กับวิถีไทยได้อย่างลงตัวและแนบเนียนจนแทบจะกลายเป็นเนื้อเดียวกัน
ป้าต้อยเริ่มลงมือรวบรวมองค์ความรู้เรื่องวิถีชาวมอญในท้องถิ่นปทุมจากผู้เฒ่าผู้แก่ในชุมชน เช่น เรื่องของงานหัตถกรรมตัดเย็บและปักผ้าสไบมอญ เรื่องของการทำหางหงส์ ธงตะขาบ การถักสานใบลานนำมาทำอุปกรณ์ที่เรียกว่างูรัดนิ้วสำหรับแก้อาการนิ้วล็อก เป็นต้น ซึ่งล้วนเป็นภูมิปัญญาชาวบ้านอันทรงคุณค่าที่นับวันจะเริ่มสูญหายเพราะถูกกาลเวลาเข้ามากลืนกิน
ได้เวลาต่อยอด
ป้าต้อยมีแนวคิดที่จะต่อยอดงานหัตถกรรมวิถีชาวมอญให้กลายเป็นผลิตภัณฑ์ในชุมชนที่สามารถสร้างมูลค่าที่เพิ่มขึ้นได้ เธอจึงได้รวบรวมชาวบ้านในชุมชนที่ว่างจากการงานเก็บเกี่ยวผลผลิตทางการเกษตรมาช่วยกันทำผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ที่สะท้อนวิถีชาวมอญ โดยป้าต้อยรับหน้าที่เป็นผู้ฝึกสอนและถ่ายทอดองค์ความรู้ให้กับชาวบ้านและมองหาตลาดที่จะทำการจัดจำหน่าย จนผลิตภัณฑ์เริ่มสร้างรายได้ให้กับคนในชุมชน
จากนั้นไม่นาน จึงมีภาคราชการคือสำนักงานพัฒนาชุมชนจังหวัดปทุมธานี ได้เข้ามาให้คำแนะนำกับป้าต้อยว่า ควรยกระดับสินค้างานฝีมือเหล่านี้ให้ขึ้นมาอยู่ในระดับวิสาหกิจชุมชน และควรจะมีการปรับปรุงพื้นที่ในชุมชนให้แหล่งท่องเที่ยวเชิงเกษตรนวัตวิถี เมื่อได้คำแนะนำและแนวทางแล้วป้าต้อยไม่รอช้า รีบเดินหน้าดำเนินการต่อยอดตามแผนทันที
เรียบง่ายแต่ได้ผลลัพธ์ที่ดี
จากคำแนะนำในเรื่องการจัดตั้งวิสาหกิจชุมชนเกษตรนวัตวิถีและปรับปรุงพื้นที่ในชุมชนให้แหล่งท่องเที่ยวเชิงเกษตร ทำให้ป้าต้อยกลับมามองว่าการจะเปลี่ยนแปลงอะไรก็ควรจะเริ่มต้นจากตนเองก่อน ป้าต้อยจึงเริ่มต้นจากการปรับเปลี่ยนที่ดินของตนเอง ให้กลายเป็นพื้นที่ที่เหมาะสมสำหรับการท่องเที่ยวและการเรียนรู้วิถีเกษตร
บนพื้นที่กว่า 13 ไร่ของเธอถูกเปลี่ยนแปลงให้กลายเป็น ศูนย์การเรียนรู้เศรษฐกิจพอเพียงวิถีมอญ พร้อมกันนั้นเธอก็ได้จัดตั้งวิสาหกิจชุมชนเกษตรนวัตวิถีทุ่งนามอญบ้านบ่อทองขึ้นมาด้วย โดยหัวใจสำคัญของศูนย์การเรียนรู้ฯแห่งนี้จะเน้นไปที่การนำเสนอวิถีชีวิตที่เรียบง่ายของคนมอญในชุมชน ภายใต้แนวคิด “เรียบง่ายแต่ได้ผลลัพธ์ที่ดี” จะมีการสาธิตการทำเกษตรแบบดั้งเดิมที่เน้นแบบพึ่งพาตนเอง อันเป็นวิถีเกษตรแบบพอเพียง มีการปลูกพืชสวนครัว มีการเลี้ยงสัตว์ที่ผสมผสานไปกับการปลูกบัว จนกลายเป็นระบบนิเวศที่เกื้อกูลกันตามธรรมชาติ คือเป็นความเรียบง่าย แต่ได้ผลผลิตและผลลัพธ์ที่ดีกลับคืนสู่ชุมชนและสังคม
เที่ยวเชิงวัฒนธรรมใกล้กรุง
สิ่งที่ป้าต้อยทำ ไม่ใช่แค่สร้างแหล่งท่องเที่ยวเชิงเกษตรเท่านั้น แต่ยังเป็นการหลอมรวมวัฒนธรรมและอัตลักษณ์วิถีไทยและวิถีมอญเข้าหากัน จนเกิดการผสมผสานทางวัฒนธรรมที่ดูมีเสน่ห์ สะท้อนวิถีชุมชนที่เต็มไปด้วยความร่วมมือร่วมใจ ร่วมกันคิด ร่วมกันทำ และร่วมกันแก้ปัญหา และในขณะเดียวกันยังเป็นพื้นที่ในการส่งต่อภูมิปัญญาท้องถิ่น และเป็นแหล่งเรียนรู้และสืบสานศิลปวัฒนธรรมท้องถิ่นไปยังคงรุ่นต่อไปด้วย นั่นเท่ากับว่าศูนย์การเรียนรู้ ณ ทุ่งนามอญบ้านบ่อทองแห่งนี้ กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมด้วย
ซึ่งนักท่องเที่ยวที่เข้ามาเยือนทุ่งนามอญบ้านบ่อทองแห่งนี้ จะได้สัมผัสและพบกับกิจกรรมมากมาย ตั้งแต่ความสดชื่นรื่นรมย์ของความเขียวขจีของแปลงนาธรรมชาติ การสอนการทำเกษตรแบบดั้งเดิม หากนักท่องเที่ยวมาในช่วงที่ข้าวไม่ได้ออกรวง ก็จะมีการพานักท่องเที่ยวไปชมสวนผลไม้ นักท่องเที่ยวสามารถเดินเก็บผลไม้ได้และสามารถนำมาชั่งกิโลเองได้เลย ซึ่งนักท่องเที่ยวที่ได้ไปเยือนมาแล้วต่างก็หลงใหลกลิ่นไอท้องทุ่งแบบนี้ขึ้นทันที และ กลายเป็นความประทับใจที่ลืมไม่ลงเลยทีเดียว
ไม่เพียงแค่นั้น ยังมีบริการเรื่องการเช่าชุดชาวมอญ ให้นักท่องเที่ยวได้เช่าไปสวมใส่ถ่ายภาพเก๋ ๆ สำหรับไว้อวดกันในโซเชียลมีเดีย มีบริการอาหารเลิศรสหลากหลายเมนูจากฝีมือชาวมอญ ซึ่งที่เป็นไฮไลท์ใครมาก็ต้องไม่พลาดก็คือ ข้าวแช่ชาวมอญโบราณ ซึ่งป้าต้อยก็เป็นคนบรรจงลงมือทำเองด้วยความพิถีพิถันใส่ใจ นอกจากนั้นยังมีริมบึงบัวอีกแห่งที่นักท่องเที่ยวชอบมาก หนุ่มสาวต่างมานั่งห้อยขาจุ่มน้ำเย็น ๆ หยอกล้อกันอย่างสนุกสนาน ใครที่ต้องการออกแรงและเที่ยวชมสวนผ่านทางน้ำก็ยังมีบริการเรือพายให้นักท่องเที่ยวได้พายชมสวนมะม่วงและสวนมะพร้าวด้วย
ป้าต้อยเชื่อเหลือเกินว่าเสน่ห์ของแหล่งท่องเที่ยวแบบนี้จะดึงดูดผู้คนที่มีวิถีคนเมือง เกิดความหลงรักและถวิลหา จนไม่อยากที่จะกลับไปเจอความวุ่นวายแบบในเมืองเลย นั่นจึงทำให้ป้าต้อยพัฒนาทำโฮมสเตย์ไว้รับรองนักท่องเที่ยว ที่ต้องการจะเก็บเกี่ยวสัมผัสบรรยากาศอันชื่นใจนี้ไว้ให้นานที่สุดอีกด้วย
สูงสุดคืนสู่สามัญ
ภาพความอุดมสมบูรณ์ของท้องทุ่งนาที่อยู่ตรงหน้า ภาพของนักท่องเที่ยวที่มาเยือนที่ใบหน้าเปื้อนยิ้มทุกคน เสียงหัวเราะจากนักท่องเที่ยวและคนในชุมชน ที่ไม่เคยพบปะกันหรือรู้จักกันมาก่อน ผสมกลมกลืนกันจนแทบจะกลายเป็นเสียงหัวเราะเดียว สำหรับป้าต้อยแล้วเสียงนี้เป็นเสียงที่ไม่บ่งบอกถึงว่ามาจาก “ซ้าย” หรือ “ขวา” ไม่แบ่งว่า เป็น “หญิง” หรือ “ชาย” เป็นคนรุ่นก่อนหรือคนรุ่นใหม่ แต่เป็นเสียงหัวเราะที่กำลังบอกกับป้าต้อยและทุกคนว่า “ความสุข” อยู่ตรงนี้
เราเอาแต่แสวงหาความสุขจากภายนอก ไปแสวงหาความสุขจากวัตถุมากเกินไป จนลืมไปว่า แค่เรากลับมาสู่ความเรียบง่ายอันเป็นพื้นฐานของชีวิต เราก็จะไม่ต้องดิ้นรนแสวงหาความสุขจากที่ไหนเลย เพราะความสุขก็อยู่ที่ใจของเรา แค่ได้เห็นคนอื่นมีความสุข ป้าต้อยก็สุขใจอย่าบอกใครแล้ว
หากมีโอกาส ลองนำเวลาสักหนึ่งวันของคุณ มาสัมผัสกับความเรียบง่ายที่แหล่งท่องเที่ยวเชิงศิลปวัฒนธรรมใกล้กรุงแห่งนี้ดูสิ นี่คือ ทุ่งนามอญบ้านบ่อทอง ตั้งอยู่ที่ 1/1 หมู่ 2 ตำบลคูขวาง อำเภอลาดหลุมแก้ว จังหวัดปทุมธานี หากไปแล้วติดใจ อยากเก็บบางสิ่งบางอย่างไว้เป็นที่ระลึกนึกถึงป้าต้อยและชาวบ้านในชุมชนบ้าง อย่าลืมแวะซื้อสไบมอญ และหางหงส์ ธงตะขาบไว้เป็นที่ระลึกก่อนกลับบ้านด้วยนะ สิ่งเหล่านี้จะทำให้คุณรู้สึกประทับใจและอิ่มเอมใจทุกครั้งที่ได้นึกถึงอย่างแน่นอน