หลักของการทำการตลาดในยุคปัจจุบันนั้น มักจะอาศัยการอิงกับความสนใจของผู้คนเป็นส่วนใหญ่ อย่างผู้คนในสังคมกำลังสนใจกับอะไร กับอินอยู่กับอะไรนักการตลาดหรือคนทำ Content Marketing ก็มักจะเข้าไปเกาะกับสิ่งที่ผู้คนสนใจ หรืออาจจะเรียกว่า “เกาะกระแส” ก็ไม่ผิดนัก และหลายคนเลือกที่จะใช้วิธีการทำคอนเทนต์แบบ Storytelling ซึ่งก็คือ การนำสิ่งที่ผู้คนสนใจในช่วงนั้นๆมาเล่าในลีลาใหม่ นึกภาพให้ง่ายสุดก็คือข่าว ก็เป็นอย่างที่เราได้ยินกันเสมอว่าเป็นการ “เล่าข่าว” แต่ก่อนที่ผู้ประกอบการธุรกิจหรือนักการตลาดจะเล่าเรื่องอะไรออกไปนั้น คุณจะต้องรู้ให้กระจ่างก่อนว่า “กระแส” ไม่ใช่ “เทรนด์สังคม” และ “เทรนด์สังคม” ก็เป็นคนละเรื่องกับ “กระแสสังคม” เลยทีเดียว

Storytelling แล้วได้ผลดีต่อธุรกิจควรเล่าเรื่องตามเทรนด์

สิ่งหนึ่งที่คุณจะต้องเข้าใจก่อนก็คือ เทรนด์กับเรื่องหรือประเด็นที่เป็นกระแสนั้นมีความแตกต่างกัน

  • เทรนด์ เป็นแนวโน้มที่จะเกิดขึ้นกับโลกและสังคมคนหมู่มาก สิ่งที่จะเกิดขึ้นนี้จะอยู่กับสังคมมนุษย์ไปอีกนาน อาจเป็นพฤติกรรมของมนุษย์ที่จะเปลี่ยนไป เช่น พฤติกรรมการช้อปปิ้งของคนในยุคปัจจุบันที่เน้นการช้อปออนไลน์มากขึ้น หรือพฤติกรรมการไม่ดูทีวีของคนยุคนี้ที่เน้นไปชมความบันเทิงจากทางออนไลน์แทน อย่างนี้เป็นต้น
  • กระแส เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นและอยู่ในความสนใจของผู้คนในขณะนี้ ซึ่งเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นมาแล้วเดี๋ยวก็ไป ไม่ได้ยั่งยืนตลอดไป อย่างเรื่องของไวรัสโคโรน่า ที่อยู่ในความสนใจของคนทั่วโลกในขณะนี้ แต่เมื่อวิกฤตไวรัสนี้ผ่านไปพฤติกรรมความสนใจของคนก็จะซาลงไปตามกาลเวลา

เมื่อคุณเข้าใจแล้วว่า 2 สิ่งนี้ไม่เหมือนกัน สิ่งที่คุณต้องทำต่อมาก็คือ ถ้าคุณจะใช้เทคนิค Storytelling กับธุรกิจของคุณให้ได้ผลดี ไม่ว่าจะใช้ทำ Brand Story หรือทำ Content Marketing ในรูปแบบอื่นๆก็ตาม คุณควรเลือกที่จะเล่าเรื่องที่เป็นเทรนด์ความสนใจของผู้คนมากกว่า เพราะสิ่งนี้จะสะท้อนถึงวิสัยทัศน์อันกว้างไกลของธุรกิจคุณต่อผู้บริโภค และหากเทรนด์นั้น ยังไม่เกิดขึ้นหรือยังไม่บูมขึ้นในไทย การเลือกที่จะ Storytelling นำเสนอไปก่อน ย่อมทำให้คุณอยู่ในฐานะผู้บุกเบิกตลาดได้เลยนั่นเอง

เทรนด์เป็นสิ่งที่สร้างมูลค่าให้กับธุรกิจคุณได้ดีมากกว่ากระแส

การเลือกที่จะ Storytelling ข้อมูลที่เป็นเทรนด์สังคม นอกจากจะช่วยแสดงวิสัยทัศน์ความล้ำหน้าของธุรกิจคุณแล้ว ยังมีส่วนช่วยพัฒนาไปสร้างมูลค่าให้กับธุรกิจคุณได้มากกว่าสิ่งที่เป็นกระแสด้วย อย่างเช่น ช่องที่โลกมีวิกฤตเรื่องไวรัสโคโรน่า มาพร้อมๆกับเรื่องของฝุ่นพิษ PM 2.5 ถ้าคุณเลือกที่จะ Storytelling ประเด็นทั้ง 2 นี้ เมื่อปัญหาเหล่านี้ทุเลาลง เรื่องราวที่คุณเล่าจะเสื่อมค่าไปตามกาลเวลา แต่ถ้าคุณเลือกที่จะเล่าสิ่งที่เป็นเทรนด์ในมุมกลับกันคือ เทรนด์รักษ์โลก สะท้อนว่ามีนวัตกรรมหรือเทคโนโลยีอะไรบ้างที่จะแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นจากที่มนุษย์ทำลายโลก องค์กรใหญ่ๆของโลกลงมือทำอะไรกับการดุแลโลกบ้าง และธุรกิจของคุณช่วยโลกนี้อย่างไร แก้ปัญหาเรื่องมลภาวะที่ก่อเกิดเชื้อโรคหรือฝุ่นพิษได้อย่างไรบ้าง สิ่งเหล่านี้ต่างหากที่จะทำให้ธุรกิจคุณดูมีมูลค่ามากขึ้น

แน่นอนว่าคุณอาจจะต้องใช้เวลาในการ Storytelling ย้ำๆซ้ำๆกว่าจะให้คนรู้คาแรคเตอร์ของธุรกิจคุณ แต่คุณเชื่อเถอะเมื่อสิ่งที่เป็นกระแสจืดจางไป สิ่งที่คุณเล่ามาทั้งหมดนั้นจะไม่หายไปตามกาลเวลา คุณค่าจะยังคงอยู่ แถมดีไม่ดีธุรกิจและแบรนด์ของคุณอาจกลายเป็นผู้นำเทรนด์สังคมคนใหม่ไปแล้วก็ได้