วันนี้เราจะพบว่าการทำ Content Marketing กลายเป็น New Normal หรือเป็นเรื่องปกติสามัญไปแล้วในการทำธุรกิจยุคปัจจุบัน แต่สิ่งหนึ่งที่เราต้องมองและขบคิดให้แจ่มชัดก็คือ โจทย์ของแต่ละธุรกิจนั้นมีความแตกต่างกัน การจะนำเสนอคอนเทนต์จึงจำเป็นที่จะต้องแตกต่างกันไปตามโจทย์ของธุรกิจ ซึ่ง digital storytelling คือทางออกที่ดี ที่จะทำให้โจทย์ที่แตกต่างนั้นเกิดความเท่าเทียมมากยิ่งขึ้น
Content Marketing สำหรับธุรกิจขนาดใหญ่
ความได้เปรียบของธุรกิจขนาดใหญ่ก็คือ การมีโครงสร้างพื้นฐานทางธุรกิจที่แข็งแรง การทำคอนเทนต์ของธุรกิจขนาดใหญ่ในยุคหลังจึงเน้นไปที่การทำ Brand Storytelling กันเป็นส่วนใหญ่ เพื่อใช้สร้าง Awareness ให้กับผู้บริโภค เป็นการกระตุ้นให้รับรู้ว่าแบรนด์มีสินค้าหรือบริการใหม่ๆที่น่าสนใจออกมา ในช่วงที่ทีวีกำลังบูม ธุรกิจขนาดใหญ่จะได้เปรียบในเรื่องการทำคอนเทนต์โฆษณาผ่านทีวีมาก เพราะมีเม็ดเงินมหาศาล แต่หลายปีที่ผ่านมานี้ทีวีเริ่มเข้าสู่สภาวะถดถอย เป็นเวลาเดียวกันที่สื่อออนไลน์กลับแข็งแรงมากขึ้น ธุรกิจขนาดใหญ่ในวันนี้จึงลงมาใช้วิธีการทำ digital storytelling คือ ใช้การเล่าเรื่องแบรนด์ผ่านสื่อดิจิทัลต่างๆ
ด้วยจำนวนเม็ดเงินโฆษณาที่เท่ากันกับทีวี แต่ digital storytelling คือ วิธีที่ทำให้พวกเขาได้โฆษณาที่หลากหลายสื่อ หลากหลายรูปแบบคอนตเทนต์มากกว่า แถมยังไม่จำกัดเวลาในการนำเสนอต่อผู้บริโภคเหมือนทีวีด้วย ทำให้ธุรกิจขนาดใหญ่ รู้สึกแฮปปี้กับการสร้างเรื่องเล่าผ่านสื่อดิจิทัลแบบนี้มาก คอนเทนต์ที่นำเสนอผ่านทางออนไลน์ของธุรกิจขนาดใหญ่มักไม่เน้นเปลี่ยนแปลงการตัดสินใจของผู้บริโภค แต่เน้นไปที่การสร้างความแข็งแรงให้กับแบรนด์ ให้ผู้บริโภควางใจในแบรนด์มากขึ้น ซึ่งสิ่งเหล่านี้ก็มักจะจบท้ายด้วยยอดขายเสมอนั่นเอง
ศึกเลือกสาดกับการทำคอนเทนต์การตลาดของ SMEs
หากจะว่ากันตามจริง digital storytelling คือ สิ่งที่ถูกเริ่มต้นใช้จากธุรกิจ SMEs ก็ว่าได้ เพราะกลุ่มนี้ความแข็งแรงทางด้านโครงสร้างธุรกิจ และเรื่องของสายป่านนั้นย่อมน้อยกว่าธุรกิจขนาดใหญ่ การจะเข้าถึงสื่อทีวีหรือเอเยนซี่โฆษณาระดับท็อปคงไม่ใช่เรื่องง่าย อีกทั้งโจทย์ทางธุรกิจของกลุ่ม SMEs ต่างออกไป เพราะเขามองว่าการสร้างแบรนด์หรือสร้างภาพลักษณ์ให้องค์กรดูดี ยังไม่จำเป็นขนาดนั้น สิ่งสำคัญสำหรับพวกเขาคือ ลูกค้าและยอดขาย พวกเขาโฟกัสไปในเรื่องนี้มากกว่า จึงเลือกที่จะทำ Content Marketing ผ่านทางสื่อดิจิทัลออนไลน์ต่างๆและที่หนักมาก็คงจะเป็นโซเชียลมีเดีย
นั่นทำให้เราเห็นว่าคอนเทนต์การตลาดของกลุ่ม SMEs จะมีความหวือหวามากกว่ากลุ่มธุรกิจใหญ่ พวกเขาจะเน้นหนักไปที่การเปลี่ยนแปลงของผู้บริโภค ต้องกระตุ้นผู้บริโภคให้เกิดการตัดสินใจซื้อ digital storytelling ที่ดีในมุมมองของ SMEs คือ การเล่าเรื่องที่ทำให้ผู้บริโภครู้จักสินค้าได้เร็ว เพราะนั่นจะทำให้ผู้บริโภคพร้อมเก็บสินค้านั้นไว้เป็นตัวเลือก นั่นทำให้ digital storytelling คือ เครื่องมือสำคัญอย่างมาก ไม่เน้นประณีตแต่ขอให้เยอะและเร็วเข้าไว้ จึงทำให้คอนเทนต์การตลาดในกลุ่ม SMEs กลายเป็นสมรภูมิที่แข็งขันกันอย่างดุเดือดอย่างที่เราเห็นกันในปัจจุบัน
digital storytelling คือ ทางรอดของธุรกิจ Digital Publisher
หลายปีมานี้ทุกคนคงจะเห็นความเปลี่ยนแปลงไปของธุรกิจสื่อหลายเจ้า ที่พยายามปรับตัวให้กระชับคล่องตัวมากขึ้น สื่อเล็กกลับขึ้นมามีอิทธิพลเหนือสื่อใหญ่ ๆ ได้ เป็นความเปลี่ยนแปลงที่ไม่น่าเชื่อ ซึ่ง digital storytelling คือเคล็ดลับของกลุ่มสื่อเล็กๆ เหล่านี้ เน้นพลังของความรวดเร็วคล่องตัว ถึงก่อนบอกก่อน เรียกว่าเป็นการขยับตัวก่อนที่สื่อใหญ่จะก้าว นั่นทำให้สื่อเล็กๆ ประเภท Digital Publisher ได้ใจผู้บริโภคไป
แต่เมื่อมีเจ้าแรกที่ประสบความสำเร็จได้ รายต่อไปก็ต้องมีออกมาเรื่อยๆ ซึ่งวันนี้ สื่อเล็กประเภท Digital Publisher เกิดขึ้นเยอะมาก ใครนั้นไม่พอต่างก็ลงมาแข่งทำ digital storytelling เหมือนกันด้วยเพราะต่างก็มองว่านี่คือรูปแบบที่ได้ผล จริงอยู่ว่ากลุ่มธุรกิจเดียวกันอาจมีโจทย์คล้ายๆกัน การทำคอนเทนต์อาจทำเหมือนกันก็ได้ แต่อยากให้คุณรู้ว่าประสิทธิภาพที่ออกมาจะแตกต่างกัน ตอนนี้digital storytelling คือ ไม้เด็ดของธุรกิจสื่อ ใครเล่าเรื่องได้มันถึงใจผู้ชมมากกว่า ก็ย่อมได้ใจผู้ชมไปครองและนั่นหมายถึงเม็ดเงินจากสปอนเซอร์ที่จะเข้ามานั่นเอง
ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้จะชี้ให้เห็นว่า โจทย์ที่แตกต่างกันของธุรกิจ ทั้งเรื่องของสเกล ขนาด รูปแบบสินค้าการให้บริการเป็นสิ่งที่กำหนดรูปแบบการนำเสนอคอนเทนต์ ถึง digital storytelling คือ ทางออกที่ดีของการแก้ปัญหาเหล่านี้ก็จริง แต่ถ้าคุณตีโจทย์ผิด คุณก็จะวางแนวทางในการทำคอนเทนต์การตลาดผิดไปด้วย ฉะนั้น ตีโจทย์ของธุรกิจคุณให้แตกว่าคุณแข่งอยู่ในสนามไหนและแข่งกับใครอยู่ ซึ่งนั่นจะช่วยให้คอนเทนต์มีพลังในทางส่งเสริมธุรกิจมากยิ่งขึ้นนั่นเอง