ย้อนมองอดีต การอุบัติของโควิด 19 ส่งผลต่อธุรกิจไทยอย่างไรบ้างในปี 63

สรุปภาพรวมของธุรกิจไทยปี 63 ภายใต้สถานการณ์โควิด 19 แต่ละธุรกิจมีการปรับตัวและปรับกลยุทธ์ธุรกิจกันอย่างไรบ้าง

covid-19-Impact-of-thai-businesses

สิ่งที่เกิดขึ้นมาในปี 2563 ทุกคนคงทราบดีกันอยู่แล้วว่ามีอะไรที่หนักหนาสาหัสกันบ้าง ในขณะที่ก็อาจมีบางกลุ่มธุรกิจที่ใช้วิกฤตนี้เป็นโอกาส เปลี่ยนแปลงธุรกิจตนเองให้พลิกโฉมไปอีกรูปแบบไม่ว่าจะเต็มใจหรือไม่ก็ตาม การอุบัติขึ้นของโควิด 19 ทำให้บางอย่างเกิดขึ้น ทำให้บางอย่างต้องตั้งอยู่ และบางสิ่งต้องดับสูญไป ธุรกิจไทยปี 63 ภายใต้สถานการณ์โควิดนี้จึงต้องบอกว่าโหดและท้าทายการเอาชีวิตรอดอย่างมากทีเดียว

ธุรกิจอุตสาหกรรมจำนวนมาก อาจเรียกได้ว่าแทบจะทั้งหมดต้องมีการปรับตัว ปรับกลยุทธ์ธุรกิจของตนเอง บางธุรกิจอาจปรับกลยุทธ์การตลาดใหม่เล็กน้อย เพราะเดิมทีปรับตัวมาตลอดอยู่แล้ว บางธุรกิจที่ไม่ค่อยปรับตัวก็ถูกบีบบังคับให้ปรับกลยุทธ์ธุรกิจใหม่แทบทั้งหมด ซึ่งการปรับเปลี่ยนในครั้งนี้ก็กระทบภาพรวมของบริษัทอย่างมาก เพราะมีการปรับลดเงินเดือน มีการปรับลดคน เพราะสภาพคล่องทางการเงินมีปัญหา จึงต้องบอกว่านี่คือความท้าทายสุด ๆ ของโลก

ในเมื่อในไทยเราดูเหมือนว่าโควิดจะกลับมาอีกรอบ ในขณะที่เราก็กำลังจะก้าวเข้าสู่ปีใหม่ 2564 ด้วย เราจึงขอถือโอกาสนี้มาสรุปภาพรวมของธุรกิจไทยปี 63 ภายใต้สถานการณ์โควิด 19 นี้กันอีกครั้งว่ามีอะไรเกิดขึ้นบ้าง

airline-business-and-covid-19ธุรกิจการบิน กลุ่มธุรกิจที่อาการเข้าขั้นโคม่า

จะเรียกว่าหนักสุดได้หรือไม่นั้นก็คงตอบยาก แต่ที่แน่ ๆ ธุรกิจสายการบินได้รับผลกระทบจากพิษโควิดหนักแน่นอน เชื่อว่าในช่วงชีวิตหนึ่งของใครบางคนอาจไม่เคยคิดเลยว่าจะได้เห็นธุรกิจสายการบินประกาศ “ล้มละลาย” แต่ในปี 63 นี้เรากลับได้เห็นภาพของเครื่องบินต่าง ๆ ทั่วโลกจอดนิ่งสนิทจนกลายเป็นเรื่องชินตา อันเป็นผลมาจากทั่วโลกต่างประกาศ Lockdown ประเทศของตนเอง นั่นจึงส่งผลให้เครื่องบินต่าง ๆ บินไปไหนไม่ได้และต้องหยุดให้บริการไปโดยปริยาย

ในด้านตัวอุตสาหกรรมการบินเองก็มีการปรับกลยุทธ์ธุรกิจของตนเองอยู่โดยตลอดเวลา มีการปรับโครงสร้างรายได้ของธุรกิจ ปรับลดคนเพื่อให้ธุรกิจมีรายได้ประคองตัวให้รอด แต่ก็มีสายการบินจำนวนมากไม่สามารถที่จะยืนหยัดสู้ต่อได้ แม้ว่าช่วงกลางปีที่ผ่านมา สถานการณ์การแพร่ระบาดจะเริ่มอยู่ในวงจำกัด บางสายการบินก็เริ่มกลับมาให้บริการกันบ้าง แต่ก็น้อยมากและก็พบการติดเชื้ออยู่เป็นระยะ ๆ นั่นจึงทำให้ธุรกิจการบินมีสภาพที่ย่ำแย่ที่สุดเท่าที่เคยเห็นมาเลยทีเดียว

ลองมาดูเรื่องการปรับกลยุทธ์ธุรกิจของธุรกิจสายการบินกันบ้าง นอกจากเรื่องของการปรับลดพนักงานแล้ว การปรับตัวที่น่าสนใจของกลุ่มธุรกิจนี้ก็คือ การกระจายความเสี่ยง มีการนำกลยุทธ์การตลาดแบบออนไลน์และเดลิเวอรี่มาปรับใช้ เช่น

  • การนำเมนูอาหารและเครื่องดื่มของทางสายการบินที่เคยใช้เสิร์ฟลูกค้าบนเครื่องมาขายผ่านช่องทางออนไลน์และขยับปรับตัวเข้าสู่การส่งอาหารเครื่องดื่มแบบ Delivery
  • นำสินค้า Collection ต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับสายการบินออกจำหน่ายออนไลน์
  • มีการขายตั๋วเครื่องบินแบบบุฟเฟ่ต์ ให้ลูกค้าบินได้แบบไม่จำกัดเที่ยว (ยกเว้นช่วงวันหยุดยาวและวันหยุดเทศกาลต่าง ๆ)

tourism-businessธุรกิจท่องเที่ยวและโรงแรม ผลกระทบต่อเนื่องจากธุรกิจการบินซบเซา

กลุ่มธุรกิจต่อมาที่กระทบกันในลักษณะลูกโซ่เลยก็คือ ท่องเที่ยวและที่พักโรงแรม เมื่อการเดินทางต้องหยุดพัก จึงทำให้เรื่องท่องเที่ยวและการหาที่พักต้องหยุดชะงักไปโดยปริยายเช่นกัน สำหรับประเทศที่ไม่ได้พึ่งพาการท่องเที่ยวเป็นหลักก็คงไม่หนักหนานัก แต่สำหรับไทยเราแล้ว ที่พยายามเน้นการขับเคลื่อนประเทศด้วยการท่องเที่ยว ต้องบอกว่าหนักมากในสถานการณ์นี้ แม้ขนาดเทศกาลที่สำหรับของไทยที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวมาได้ในแต่ละปีเป็นจำนวนมากอย่าง สงกรานต์และลอยกระทง ยังต้องยกเลิกกันไป ก็คงไม่ต้องบอกว่าไทยเราจะเสียรายได้ทางเศรษฐกิจสักเท่าไหร่

ในส่วนนี้เองภาครัฐก็พยายามที่จะหามาตรการมาช่วยกระตุ้นให้ผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยวและโรงแรมปรับกลยุทธ์ธุรกิจของตนเอง โดยให้เน้นกลุ่มเป้าหมายเป็นคนไทยให้มากขึ้น แต่แน่นอนเม็ดเงินของคนไทยเที่ยวไทยคงเทียบไม่ได้ที่มาจากคนต่างชาติที่เข้ามาเที่ยวไทย แต่ก็ยังดีกว่าไม่ได้อะไรเลย

สำหรับการปรับกลุยุทธ์การตลาดของกลุ่มธุรกิจท่องเที่ยวและโรงแรมเองที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับภาครัฐนั้น เห็นว่าจะมีกลไกหลัก ๆ เพียงอย่างเดียวนั่นคือเรื่องของ “ราคา” โดยพยายามปรับราคาให้สอดคล้องกับคนไทย แต่ก็ดูจะไม่เป็นผลนัก มีบางบริษัทที่มีการปรับกลยุทธ์การตลาดได้น่าสนใจนั่นคือ การจัดบริการทัวร์แบบ VIP จัดทัวร์ส่วนตัวกลุ่มเล็ก 2 – 4 คนพาเที่ยวพร้อมจัดหาที่พักให้ครบ ซึ่งก็เริ่มได้รับการตอบรับจากผู้คนมาบ้างเหมือนกัน

new-retailค้าปลีกกระทบหนักจนถูกบีบให้เข้าสู่ New Retail

สะเทือนหนักจริง ๆ สำหรับธุรกิจค้าปลีก ไม่ว่ารายเล็กหรือรายใหญ่เพราะมาตรการ Lockdown ซึ่งหลังจากที่หลาย ๆ อย่างต้องหยุดไป ทำให้ผู้ประกอบการในกลุ่มธุรกิจนี้ต้องรีบปรับกลยุทธ์ธุรกิจทันที สำหรับรายใหญ่อย่างกลุ่มห้างสรรพสินค้า ก็ดูจะไม่ใช่เรื่องยากนักกับการปรับช่องทางการขายจากออฟไลน์อย่างเดียวมาเป็น ลักษณะ O2O คือ ทำ Offline to Online เราจะเห็นว่าปีนี้สมรภูมิค้าปลีกปีนี้ลงมาเล่นในตลาดออนไลน์กันอย่างดุเดือดมาก เพื่อให้สินค้าของตนเองเข้าถึงผู้บริโภคได้ง่ายที่สุด

แต่ปัญหากลับไปตกอยู่ที่ผู้ประกอบการรายย่อยต่าง ๆ ที่ไม่ได้มีทุนหนา การปรับตัวปรับกลยุทธ์ธุรกิจแต่ละครั้งไม่ใช่เรื่องง่าย การจะขยับจาก Offline to Online ทันทีนั้นจึงไม่ได้ง่ายอย่างที่คิด และบางคนไม่ได้เชี่ยวชาญมาตั้งแต่ต้น การจะปรับตัวมาเป็น e-Commerce ก็มีหลายสิ่งที่จะต้องคิดต้องเริ่มต้นลงทุนกันใหม่ ปัญหาใหญ่ก็คือ กลุ่มนี้เข้าไม่ถึงแหล่งเงินทุนเสียด้วย แต่ไม่ว่าจะทำได้หรือไม่ได้ ทุกคนก็ถูกบีบให้ปรับตัวเข้าสู่การเป็นค้าปลีกยุคใหม่ไปแล้วโดยสถานการณ์ ที่สำคัญยุคสมัยยังทำให้ผู้ประกอบการค้าปลีกจะต้องกลายเป็นผู้ประกอบการสไตล์ Mobile Commerce อีกด้วย

ธุรกิจโรงหนังก็สาหัสไม่น้อยไปกว่ากัน

ด้วยเพราะโรงหนังส่วนใหญ่นั้นอยู่ในห้างสรรพสินค้า หรือไม่ก็อยู่ในรูปแบบห้างสรรพสินค้าย่อย ๆ เลยก็มี การที่ห้างถูกจำกัดเวลาในการเปิด – ปิด รวมไปถึงเรื่องของมาตรการเว้นระยะห่าง ทุกอย่างทำให้คนเข้าโรงหนังน้อยลง และหากมองไปถึงอุตสาหกรรมทำหนังทำภาพยนตร์เองก็ต้องหยุดชะงักไปด้วย ถึงโรงหนังจะเปิดได้ แต่ก็ไม่มีหนังมาฉาย นั่นจึงกลายเป็นฝันร้ายของธุรกิจโรงหนังในปีนี้ไปเลย

ในขณะที่โรงหนังกำลังสาหัสแต่กลับการเป็นความเฟื่องฟูของธุรกิจหนังแบบสตรีมมิ่ง เพราคนหยุดอยู่บ้านก็เยอะ การดูหนังออนไลน์แบบสตรีมมิ่งจึงกลายเป็นสิ่งที่ตอบโจทย์ นี่คือ สัญญาณบ่งบอกเหมือนกันว่าธุรกิจโรงหนังอาจถึงเวลาที่จะต้องปรับตัวครั้งใหญ่แล้ว

ธุรกิจโฆษณาก็เข้าขั้นย่ำแย่

สำหรับกลุ่มธุรกิจเอเยนซี่โฆษณา และกลุ่มธุรกิจ Event ต่าง ๆ อาจเรียกว่าปีนี้เป็นฝันร้ายเลยทีเดียว เพราะรายได้หดหายแบบเห็นได้ชัดเจนมาก จากการสำรวจรายได้ของธุรกิจในกลุ่มนี้พบว่า ตั้งแต่ช่วงต้นปีมาจนถึงเดือนพฤศจิกายน 63 รายได้ของกลุ่มธุรกิจนี้ลดลงแบบติดลบ 15% เมื่อเทียบกับปี 62 ซึ่งบอกเลยว่าน่ากลัวมากจริง ๆ จนแทบจะเดาทิศทางไม่ถูกเลยว่า ธุรกิจกลุ่มนี้จะมีอนาคตไปอย่างไร หรือจะฟื้นตัวเมื่อไหร่

ที่ดูจะติดลบน้อยที่สุดก็คือ การทำโฆษณาผ่านสื่อดิจิทัลต่าง ๆ ซึ่งติดลบอยู่ที่ 4% ขนาดสื่อดิจิทัลเองยังไม่สามารถทำกำไรได้ขนาดนี้ ก็ต้องบอกว่าย่ำแย่มาก สำหรับฝั่งผู้ประกอบการธุรกิจที่ลงเม็ดเงินไปกับการโฆษณาในปี 63 ที่ผ่านมานี้ เยอะสุดก็คือ กลุ่มธุรกิจเครื่องสำอาง และผลิตภัณฑ์ดูแลความสะอาดฆ่าเชื้อโรค ซึ่งลงเม็ดเงินไปสูงถึง 13,765 ล้านบาท เป็นเม็ดเงินที่สูงขึ้นจากปีก่อนหน้าถึง 3%

ธนาคารก็รายได้หดหาย

วิกฤตครั้งนี้ไม่เลือกใครจริง ๆ แม้กระทั่งกลุ่มธุรกิจธนาคารและสถาบันการเงินยังเข้าขั้นกระอักเลยทีเดียว แต่ก็ต้องยอมรับว่ากลุ่มธุรกิจธนาคารนั้นมีวิสันทัศน์ที่ดี มีการปรับกลยุทธ์ธุรกิจมาสู่การเป็น Mobile Banking และ ปรับกลยุทธ์การตลาดเพิ่มบริการ e-Payment เข้าไปทำให้ ธุรกิจนี้ยังสอดรับกับประชาชนอยู่ ถึงจะได้รับผลกระทบในแง่ของเงินฝากต่าง ๆ ที่อาจจะน้อยลงบ้างแต่ในแง่ของกระแสเงินสดที่ยังคงหมุนเวียน ก็ยังคงเต็มที่ เพราะการจับจ่ายในช่วงที่ผ่านมาเกิดขึ้นผ่านช่องทาง e-Payment เยอะมากขึ้น

นี่คือสรุปภาพรวมธุรกิจไทยปี 63 ที่เกิดขึ้นภายใต้สถานการณ์โควิด 19 ก็จะเห็นภาพว่าย่ำแย่เจ็บหนักกันไปตาม ๆ กัน ที่ดูจะโตสวนกระแสก็มีเพียงกลุ่มเดียวก็คือกลุ่มธุรกิจ e-Commerce แต่ใช่ว่าการลงไปเล่นในตลาดนี้จะง่าย หากใครมาในตอนนี้ก็อาจจะเรียกว่าช้าไปแล้วก็ได้ อย่างไรก็ตามก็ยังมีโอกาสเสมอ สำหรับคนที่มีจุดเด่นและจุดขายของตนเอง ตอนนี้โควิดระลอกใหม่อาจเกิดขึ้นอีก ซึ่งไม่มีใครรู้ได้ว่าวัคซีนจะช่วยอะไรได้ไหม จึงยังต้องลุ้นกันต่อไป และเราขอเอาใจช่วยทุกคนฝห้ผ่านพ้นวิกฤตร้าย ๆ นี้ไปให้ได้