ต้องยอมรับว่าสถานการณ์ของประเทศไทยในขณะนี้มีความเปราะบางอย่างมาก จากสถานการณ์ต่าง ๆ รอบด้านที่ถาโถม หนักสุดก็คงเป็นเรื่องของการระบาดไวรัสที่กระหน่ำจนภาวะเศรษฐกิจทรุดไป คนทำธุรกิจต่างก็อาการหนักไปตาม ๆ กัน ยังมีสถานการณ์ทางการเมืองเข้ามากระชั้นชิดอีก จึงเรียกว่ามีแต่ความไม่แน่นอน ในภาวะแบบนี้คนทำธุรกิจจะเอาตัวรอดกันอย่างไร เรามีคำแนะนำในเรื่องกลยุทธ์การตลาดมาเป็นเกราะป้องกันในสถานการณ์บาง ๆ แบบนี้ให้กับคุณ
1.ต้องไม่ใช่ NEW NORMAL แต่ต้องเป็น NEVER NORMAL
อย่ามัวแต่คิดว่าจะเปลี่ยนอะไรใหม่ แต่ขอให้คิดว่าจะปรับตัวไปกับสถานการณ์ใหม่ที่เกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลาได้หรือไม่ กลยุทธ์การตลาดนี้ถือว่าสำคัญมาก เพราะตอนนี้โลกเปลี่ยนเร็ว สิ่งใหม่ สถานการณ์ใหม่เกิดขึ้นทุกวัน และนับกันเป็นชั่วโมงจนถึงนาทีเลยทีเดียว ทุกอย่างดูเหมือนจะปกติ แต่ถ้ามองจริง ๆ แล้วไม่มีอะไรเป็นปกติสักอย่าง
สินค้าที่คุณโพสต์ขายในโซเชียล เพียงนาทีเดียวก็จะไม่ปรากฎในสายตาของลูกค้าอีกแล้ว ขนาดอาหารเครื่องบริโภคที่เราจะต้องไปลองเองชิมเองที่ร้าน วันนี้กลายเป็น จึงเป็นการยากที่จะใช้วิธีเดิม ๆ หรือกลยุทธ์การตลาดเดิม ๆ มาดึงลูกค้าเอาไว้
ขอให้จำไว้ว่าไม่มีอะไรเป็นสิ่งใหม่ มีแต่สิ่งที่เป็น “ปัจจุบัน” ถ้าคุณปรับตัวเข้ากับสถานการณ์ตรงหน้าได้ทัน ปรับตัวไปกับพฤติกรรมผู้บริโภคที่พร้อมจะเปลี่ยนใจเป็นรายวัน คุณก็จะปรับตัวไปกับลูกค้าแต่ละรายได้อย่างลื่นไหล แน่นอนเราจะรู้สึกว่าทำงานยากขึ้น แต่การปรับตัวเท่านั้นที่จะทำให้เราก้าวต่อไปบนความไม่แน่นอนได้
2.ทุกกิจกรรมของผู้บริโภค คือ Data
การใช้ข้อมูลในตอนนี้ คือหนึ่งวิธีที่จะทำให้ธุรกิจหลาย ๆ แบบสามารถเอาตัวรอดได้ ความต้องการของลูกค้า 1 คน ก็นับเป็น Data แล้ว ซึ่งถ้าคนทำธุรกิจรู้จักใช้ข้อมูลตรงนี้ให้เกิดประโยชน์ หรือ นำมาใช้เป็นสิ่งกำหนดกลยุทธ์การตลาด และวิธีวางแผนการขายก็จะสามารถช่วยให้ธุรกิจขยับเดินหน้าไปได้เป็นระยะ ๆ อย่างเช่น เราลูกค้าลูกค้าคนนี้ชอบสินค้าแบบนี้ ชอบซื้อของราคาประมาณนี้ และซื้ออะไรบ่อย ๆ ซ้ำ ๆ หากเรามีการบันทึกจดจำ และนำพฤติกรรมเหล่านี้ของลูกค้ามาอ้างอิง เราก็จะสามารถนำสินค้ามาขายได้อย่างถูกต้อง และสามารถกำหนดราคาให้ถูกต้องได้ การทำเช่นนี้จะทำให้เราสามารถขายได้เรื่อย ๆ เพราะเราสามารถสนองตอบความต้องการของลูกค้าเราได้นั่นเอง
3.รวมกันเราอยู่ แยกกันอยู่เราก็เหนื่อย
กลยุทธ์การตลาดหนึ่งที่แบรนด์ธุรกิจชั้นนำในวันนี้ใช้กันจนแทบจะเป็นเรื่องปกติก็คือ การ Collaboration Marketing การหาพาร์ทเนอร์ จับคู่ธุรกิจที่เกี่ยวข้องเชื่อมโยงกัน และก้าวไปด้วยกัน อาจเป็นธุรกิจในกลุ่มเดียวกันจับมือกันให้เกิดกลุ่มก้อนที่ใหญ่ขึ้น หรือ อาจเป็นกลุ่มธุรกิจที่ต่าง ๆ เก่งกันคนละด้าน แต่เมื่อนำมารวมตัวกันจึงเกิดความสมบูรณ์แบบมากขึ้น สามารถตอบโจทย์ลูกค้าได้อย่างครบถ้วนทุกด้าน
เสมือนการจัดทัพในการรบ ที่จะต้องมีความเก่งกาจทุกด้าน จะให้ขายก็ทำได้ จะให้คิดกลยุทธ์การตลาดก็ทำได้ จะให้ทำคอนเทนต์ก็ทำได้แบบครบจบในที่เดียว ซึ่งลูกค้าก็มักไม่ต้องการซื้อสินค้าหรือบริการจากหลายที่ให้เกิดความยุ่งยากวุ่นวาย
ลองนึกถึงการไม่ซื้อมือถือสักเครื่อง ถ้าเราซื้อมาแล้วทางร้านบอกว่า คุณต้องไปลงระบบปฏิบัติการอีกร้านนึงนะ และจะต้องไปซื้อแบตเตอรี่ของเครื่องอีกร้านหนึ่ง ติดฟิล์มอีกร้านหนึ่ง แบบนี้เราเองก็ไม่ชอบ แต่ถ้าทำทุกอย่างได้ในร้านเดียว เราก็ย่อมจะเลือกร้านนั้น แต่แน่นอนว่าคงไม่มีใครเก่งไปเสียทุกเรื่อง การร่วมมือกัน หาพาร์ทเนอร์ หรือรวมกลุ่มธุรกิจให้ได้จึงเป็นพลังช่วยให้เรามีโอกาสอยู่รอดได้มากกว่านั่นเอง
4.Content is King ยังคงจริงเสมอ
ไม่ว่าคุณจะขายของชิ้นเล็กชิ้นน้อยแค่ไหน หรือ จะทำธุรกิจใหญ่เป็นระดับองค์กรก็ตาม กลยุทธ์อย่าง Content Marketing ก็ยังคงเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ เพราะนี่คือเครื่องมือที่จะบอกว่าคุณมีตัวตนอยู่โลกใบนี้นะ และคุณกำลังมีชีวิตอยู่ เคลื่อนไหวทำธุรกิจ ขายอันนั้นทำสิ่งนี้อยู่นะ คุณลองคิดดูสิว่า ถ้าคุณเปิดเข้าไปใน YouTube แล้วในนั้นไม่มีคลิปอะไรเลยคุณจะรู้สึกอย่างไร ถ้าคุณเข้าไปที่ Netflix แล้วในนั้นไม่มีคอนเทนต์อะไรที่น่าดูเลย คุณยังจะใช้บริการอยู่อีกหรือไม่
เบื้องหลังการเติบโตของธุรกิจระดับหลักพันล้านดอลลาร์เหล่านี้ก็คือคอนเทนต์ทั้งสิ้น คอนเทนต์เป็นสิ่งที่ขายได้อยู่เสมอ และยังมีอิทธิพลที่ทำให้สินค้าอื่น ๆ ขายได้ตามไปด้วยนะ วันนี้คุณจึงต้องถามตัวเองแล้วว่า คุณทำกลยุทธ์การตลาดด้วย Content Marketing แล้วหรือยัง หากทำแล้วคอนเทนต์ของคุณมีความแตกต่างและมีพลังที่จะจูงใจคนบ้างหรือไม่
5.รู้จุดอ่อน สะท้อนจุดแข็ง
อีกหนึ่งข้อที่อาจจะเรียกว่าเป็นกลยุทธ์การตลาดแบบพื้นฐานก็ว่าได้นั่นก็คือ การรู้จักตนเอง เคยวิเคราะห์ธุรกิจตนเองบ้างหรือไม่ว่าเราเก่งอะไรและด้อยตรงไหน ถ้ารู้แล้วจงหาวิธีการปิดจุดอ่อนของตนเอง เพื่อสร้างโอกาสใหม่(การหาพาร์มเนอร์หรือจับคู่ธุรกิจก็เป็นแนวทางหนึ่ง) หลังจากนั้นจงใช้ Content Marketing สื่อสารสะท้อนจุดแข็งของตนเองออกไปให้ลูกค้าได้รับรู้ ซึ่งนั่นจะทำให้เรามีลูกค้าเข้ามาต่ออายุให้ธุรกิจเราอยู่เสมอ
6.อย่าแข็งเป็นเหล็ก แต่จงยืดหยุ่นปรับตัวเหมือนน้ำ
แน่นอนว่าทำธุรกิจเรื่องจุดยืนที่ชัดเจน เป็นเรื่องสำคัญ เพราะจะช่วยทำให้บุคลิกของแบรนด์ชัดเจน ลูกค้าจะได้เข้าใจว่าเราเป็นใคร ขายอะไร แต่การมีจุดยืนเป็นคนละเรื่องกับการรู้จักปรับตัว เรายืนตรงนี้แล้วมันไม่สบาย ยืนแล้วจะล้ม ก็ควรจะเปลี่ยนไปยืนตรงพื้นที่ที่ยืนแล้วอยู่ได้มั่นคงไม่ล้ม
การทำธุรกิจเองก็เป็นเช่นนั้น ต้องรู้จักปรับตัวให้ยืดหยุ่น หากสินค้าเราไม่สอดรับกับสถานการณ์ หรือภาวะเศรษฐกิจ บางครั้งการปรับผลิตภัณฑ์ใหม่ เพิ่มบริการใหม่เข้าไปก็อาจเป็นวิถีทางที่ทำให้ธุรกิจเรายืนระยะไปได้นานขึ้น
ทั้งหมดนี้เป็นแนวทางของกลยุทธ์การตลาดที่สามารถนำมาใช้เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันให้ธุรกิจ ในภาวะที่ประเทศมีความเปราะบางสูงในหลาย ๆ เรื่องแบบนี้ ลองดูว่ากลยุทธ์ไหนบ้างที่คุรพอจะลองนำไปปรับใช้ได้บ้าง ก็ลองนำไปใช้กันดูนะ