ปัจจุบันธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมมาก ถ้าคุณสังเกตให้ดี คุณจะพบว่ามีร้านอาหารหรือร้านกาแฟที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวเกิดขึ้นเยอะมากขึ้นเรื่อยๆ ตอนแรกๆ กระจุกตัวอยู่ในกรุงเทพฯต่อมาก็เริ่มกระจายออกไปสู่ตามต่างจังหวัด ความเป็นเอกลักษณ์เหล่านี้ถูกสื่อสารผ่านการ Storytelling ของร้านไม่ว่าจะผ่านเมนูอาหาร หน้าตาของอาหาร ผ่านการตกแต่งร้าน หรือแม้กระทั่งคำบอกเล่าจากตัวลูกค้าเอง ซึ่งแม้ว่าร้านเหล่านี้จะไม่ได้โด่งดังลูกค้าเยอะมากมาย แต่บอกเลยว่า พวกเขาอยู่ได้ และยืนระยะการทำธุรกิจไปได้อีกนานทีเดียว เพราะพวกเขาต่างมีเรื่องเล่าที่ไม่รู้จบเป็นจุดขาย ที่สามารถขยายต่อยอดออกไปได้เรื่อยๆนั่นเอง
เมื่อไม้ “เป็น” ดีกว่า ไม้ “ตาย”
ต้นไม้หากยังมีชีวิตอยู่ ก็พร้อมที่จะเจริญเติบโตแตกกิ่งก้านสาขาไปเรื่อยๆ แต่ต้นไม้ที่ตายแล้วย่อมไม่ต่างอะไรกับซากไม้ที่ไร้ค่า ฉะนั้น ทำธุรกิจจึงต้องยึดกลยุทธ์ต่างๆ ที่จะทำให้คุณเป็นไม้ “เป็น” ที่สามารถพลิกแพลงออกไปและเอาตัวรอดได้ ไม่ว่าสถานการณ์ปัจจัยแวดล้อมภายนอกจะแย่แค่ไหนก็ตาม ซึ่งเทคนิคการสร้าง Story ให้ธุรกิจเป็นหนึ่งในกลยุทธ์ไม้เป็นเหล่านั้น ถ้าคุณมีการ Storytelling ธุรกิจของคุณแบบที่ไม่เหมือนใคร นั่นจะทำให้คุณเกาะกลุ่มลูกค้าได้อย่างเหนียวแน่นเลยนั่นเอง
การทำธุรกิจยุคใหม่นี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มแข่งขันกันสูงมาก ใครที่ยังยึดกลยุทธ์ไม้ตายอยู่ คือ ขายแค่ “อาหาร” อย่างเดียวรับรองยืนระยะได้ไม่นานแน่ แต่ถ้าคุณรู้จักปรับกลยุทธ์มาใช้ไม้เป็น ยืดหยุ่นปรับตัวเสมอ มีการนำเสนอสิ่งใหม่ๆให้กับลูกค้า ทำให้ลูกค้าได้ประสบการณ์ใหม่ๆก็จะทำให้คุณมีโอกาสอยู่รอดและเติบโตได้ แต่การจะปรับเปลี่ยนอะไร ก็ย่อมต้องมีการสื่อสารบอกกล่าวกับลูกค้าด้วย ซึ่งเทคนิคที่ดีก็คือทำ Storytelling สร้างเรื่องเล่า ใส่ชีวิตปรุงแต่งรสชาติให้กับทุกอย่างในธุรกิจของคุณ จึงจะทำให้คุณเติบโตงอกงามดังที่หวัง
ไม้งามไม่ต้องโตมากก็มีคุณค่าได้
เราจะเห็นว่าธุรกิจร้านอาหารวันนี้มีหลายร้านมากที่ยึดหลักนิชมาร์เกต คือ ทำตลาดเฉพาะกลุ่ม เน้นกลุ่มลูกค้าที่ชัดเจน ซึ่งร้านเหล่านี้มักจะมีเทคนิค Storytelling แฝงอยู่ในตัวร้านด้วยเสมอ อาจจะสอดแทรกอยู่กับการตกแต่งร้าน หรือมีลูกเล่นอยู่ในเมนูอาหาร หรือมากทีก็สร้าง Story เติมชีวิตให้กับวัตถุดิบการที่จะนำมาปรุงอาหาร สิ่งเหล่านี้คนรุ่นก่อนอาจจะมองว่าไม่มีคุณค่า เพราะพวกเขามักจะมองว่าเปิดร้านต้องได้ลูกค้าเยอะๆ ยิ่งลูกค้ารู้จักไปทั่วเมืองยิ่งดี แต่กับการทำร้านอาหารในสมัยนี้จะคิดแบบนี้ไม่ได้อีกแล้ว เนื่องจากเรามีโซเชียลมีเดียเป็นตัวกลาง หากร้านมีจุดขายแค่ที่อาหารอร่อยอย่างเดียวคงไม่เพียงพอ
แต่หากว่าร้านของคุณมี Storytelling แฝงลงไปในหลายๆอย่างของร้านและสื่อสารผ่านเรื่องเล่าต่างๆนี้ออกไปให้คนได้รู้ว่า
- อาหารเยี่ยม
- บรรยากาศดี
- ราคาก็ไม่แพง
ก็จะเกิดการบอกปากต่อปาก แม้จะเป็นคนกลุ่มเล็กๆแต่พวกเขาก็จะเหนียวแน่นอยู่กับร้าน เพราะหากไม่ชอบเขาคงไม่แชร์ไม่บอกต่อ ซึ่งคุณจะเห็นว่าการเพิ่มตัวละครเอกลงไปให้มากกว่า 1 ตัวนี้ ทำให้ร้านอาหารดูน่าไปลิ้มลองขึ้นเยอะเลย ฉะนั้น ร้านไม่จำเป็นต้องคนเยอะ แต่ขอให้มีลูกค้าเข้าประจำกลับมาซื้อซ้ำเพราะชอบในเรื่องราว ชอบสไตล์ของร้าน ก็ถือว่าเยี่ยมยอดที่สุดแล้ว
ตอนนี้คุณคงพอจะรับทราบกันแล้วว่า ธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มนั้น หากว่าคุณสามารถนำ Storytelling ลงไปเจือปนในร้าน ในอาหารได้ คุณจะมีจุดขายที่แตกต่าง ซึ่งเป็นจุดขายที่สามารถขยายได้อย่างไม่รู้จบด้วย และตรงนี้นี่เองที่จะทำให้คุณมีลูกค้าเข้ามาเรื่อยๆเพราะต้องการตามรอบเรื่องราว หรือมีลูกค้าประจำที่ชอบเอกลักษณ์เฉพาะบางอย่างของร้าน นี่แหละทางออกที่น่าสนใจของการทำธุรกิจอาหารในยุคดิจิทัลแบบนี้ แล้ววันนี้ร้านของคุณมีเรื่องเล่าเก๋ๆไว้บ้างหรือยัง