ธุรกิจในวันนี้แทบทุกอย่างมีการใช้กลยุทธ์ Content Marketing กันทั้งนั้น แต่สิ่งที่หลายๆธุรกิจเจอก็คือ เมื่อมีการลงทุนและลงมือทำ Content Marketing กันไปแล้วสักระยะใหญ่ๆกลับรู้สึกว่า ธุรกิจไม่ได้เติบโต ของไม่ได้ขายดีอย่างที่คิดไว้ มีเจ้าของธุรกิจหลายคนเลิกทำคอนเทนต์ไปดื้อๆเลยก็มี ทั้งๆที่ลงทุนทำมาแล้ว ที่ทำให้ตัดสินใจเลิกส่วนหนึ่งก็คงมาจากปัจจัยด้านต้นทุน ที่เวลาจะผลิตคอนเทนต์ต้องใช้ทั้งเงิน เวลา และกำลังคนในการจัดทำ การโยนความผิดมาให้กับคอนเทนต์นั้นก็อาจจะดูไม่แฟร์สักเท่าไหร่ เพราะอันที่จริงยอดขายที่ไม่ได้เพิ่มหรือเติบโตขึ้นนั้น อาจไม่ได้มาจากคอนเทนต์เลยก็ได้ แต่มาจาก 3 สิ่งนี้
ธุรกิจคุณเองมีจุดขายที่ไม่ตอบโจทย์ตลาด
ปัจจุบันธุรกิจส่วนใหญ่เลือกที่จะทำ Content Marketing เพื่อให้ธุรกิจมี “จุดขาย” หรือ กล่าวอีกนัยยะก็คือ ใช้คอนเทนต์ในการสร้างความแตกต่างให้กับแบรนด์ แต่ปัญหาที่ผู้ประกอบการส่วนใหญ่มักมองข้ามไปก็คือ สินค้า และ บริการของแบรนด์ แท้ที่จริงอาจไม่ได้แตกต่างหรือมีความโดดเด่นอย่างที่คิดเข้าแบรนด์คิด แม้ว่าคุณจะมีการเพิ่มและเติมลูกเล่นอะไรบางอย่างลงไปแล้วก็ตาม แต่นั่นก็อาจไม่เพียงพอที่จะสร้างความแตกต่างได้ คุณจึงเลือกที่จะอาศัย Content Marketing เข้ามาช่วยเพิ่มจุดขายให้กับแบรนด์
แนวทางดังที่กล่าวมาธุรกิจจำนวนไม่น้อยเลือกใช้ ถามว่าผิดหรือไม่ จริงๆก็ไม่ได้ผิดอะไร แต่คุณควรจะต้องกลับมาทำความเข้าใจก่อนว่า หน้าที่ที่แท้จริงของ Content Marketing คือ อะไรกันแน่ บทบาทและหน้าที่ของคอนเทนต์นั้นแท้จริงเป็นวิธีการสื่อสารกับลูกค้า ฉะนั้น ถ้าสินค้าและบริการของคุณแตกต่างและมีจุดขายตอบโจทย์ตลาดแบบจริง ๆ ตลาดมีความต้องการสินค้าของคุณจริงๆคอนเทนต์จะช่วยดึงดูดให้ลูกค้าเข้าถึงคุณได้ง่ายขึ้น ยิ่งคุณมีการทำคอนเทนต์ Storytelling ที่ดีก็จะยิ่งช่วยดึงดูดผู้บริโภคให้เข้ามาเป็นลูกค้าคุณได้มากขึ้น นับเป็นสิ่งที่ช่วยเสริมเข้ามาอีกทีนั่นเอง แต่สิ่งนี้ก็ไม่ได้บ่งบอกว่าจะทำให้คุณปิดยอดขายได้ทันทีนะ คุณต้องเข้าใจด้วยว่ากระบวนการตัดสินใจซื้อของลูกค้าต้องใช้เวลาในการพิจารณา ปัญหาจึงอยู่ตรงที่ สินค้าและบริการของคุณแท้จริง แตกต่างและโดดเด่นจริงๆ หรือไม่
เจ้าของมโนไปเอง
เรื่องนี้เกิดขึ้นบ่อยมากในโลกธุรกิจ โดยเฉพาะธุรกิจหรือแบรนด์ที่เจ้าของผลิตเองสร้างเองมาตั้งแต่ต้น ทุกคนที่ผลิตสินค้าและบริการเองมักจะคิดว่า “ฉันเป็นเจ้าแรก” หรือ “ฉันแตกต่าง” จึงทำให้การมองภาพตลาดรวมๆดูคับแคบเกินไป พอเข้าใจไปเองว่าเป็นหนึ่งครองตลาด เวลาทำ Content Marketing ออกมาจึงคับแคบไปด้วย แม้จะมีการ Storytelling ได้น่าสนใจอย่างไร แต่ก็ไม่ได้ช่วยอะไร เพราะความแตกต่างจริงๆมันกลายเป็นคอนเทนต์ที่ต่าง แต่ตัวสินค้าและบริการของแบรนด์ไม่ได้ต่างหรือเหนือไปกว่าคู่แข่งเลย เราเจอกรณีนี้บ่อยมากที่เจ้าของแบรนด์มั่นใจว่า ตัวเองเป็นเจ้าแรก เราก็เคยให้คำปรึกษาและถามกลับไปว่ารู้ได้อย่างไรว่า คุณเป็นเจ้าแรกจริงๆและไม่มีคู่แข่ง จริงๆแล้วอาจมีคนทำธุรกิจแบบเดียวกับคุณอยู่ก็ได้ หากคุณยังไม่สำรวจตลาดให้ดี หรือสำรวจแล้วไม่พบก็อย่าคิดว่าไม่มีคู่แข่ง คุณจะต้องเลิกมโนก่อน แล้วคุณจะรู้ว่าจะใช้ Content Marketing มาช่วยเสริมคุณได้อย่างไร เพราะยุคนี้ใครสื่อสารได้ดีกว่า ย่อมได้เปรียบมากกว่านั่นเอง
มีความแตกต่างจริง แต่นำเสนอผิดกลุ่ม
ปัญหาที่ 3 ข้อสุดท้ายก็คือ เจ้าของธุรกิจบางรายสามารถสร้างสินค้าและบริการออกมาได้แตกต่างและตอบโจทย์ความต้องการของตลาดจริง เรียกว่ามีจุดขายเลย แต่กลับพลาดตรงที่สื่อสารไปยังกลุ่มเป้าหมายผิดกลุ่ม คือ แบรนด์ตนเองอาจจะเหมาะกับคนที่มีกำลังซื้อ ประมาณ 35 ขึ้นไป แต่ดันไปทำ Content Marketing แนวอินเทรนด์ที่สื่อสารกับกลุ่มวัยรุ่นอายุประมาณ 20 – 25 ปี คือ คอนเทนต์ที่ออกมาเกาะกระแสสังคมบ้าง ออกแนววัยรุ่นบ้าง แต่บางทีก็ดูขัดแย้งกับสินค้าที่ตนเองขาย จึงทำให้คอนเทนต์ทำออกมาแล้วดูฝืนๆสื่อสารไม่ตรงกลุ่ม จึงทำให้ไม่ได้ยอดขายตามที่ต้องการ
นี่คือปัญหา 3 ด้านที่ผู้ประกอบการและเจ้าของแบรนด์ควรจะต้องกลับมาพิจารณาก่อนว่า เรากำลังทำแบบนี้อยู่หรือเปล่า ก่อนที่คุณจะไปกล่าวโทษว่า Content Marketing ไม่ได้ช่วยอะไร หรือทำไปแล้วไม่ได้ผล จริงๆการทำคอนเทนต์ช่วยได้เสมอ มีส่วนมากที่จะทำให้ลูกค้าเข้าถึงธุรกิจคุณได้ง่ายมากขึ้น แต่ก็อยู่ที่ว่าแบรนด์ของคุณมีจุดขายหรือไม่ และจุดขายนั้นคุณคิดไปเองหรือมั่นใจไปเองหรือเปล่า และถ้าแตกต่างจริงมีจุดขายจริง แต่สื่อสารถูกกลุ่มหรือไม่ สิ่งเหล่านี้เป็นปัจจัยสำคัญทั้งสิ้น ถ้าคุณแก้ไขได้บอกเลยว่าคุณจะเห็นประโยชน์และใช้ประโยชน์จากคอนเทนต์ในการเป็นเครื่องมือช่วยให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อได้เป็นอย่างดีเลยทีเดียว