ผมพบเจอคนทำธุรกิจส่วนตัวหลายคนที่ เข้ามาบ่นกับผมว่า
ลงทุนซื้อAdกับ Facebook ไปเกือบ 100,000 แต่ได้คนซื้อไม่ถึง 10 คน
ฟังดูเหมือนจะดูเว่อร์นะครับ แต่นี่คือเรื่องจริง ซึ่งผมเชื่อว่า ใครหลายๆคนที่ทำธุรกิจส่วนตัวแบบออนไลน์ หรือแม้ไม่ทำธุรกิจออนไลน์แบบเต็มตัวแบ่งไปทำแบบ offline บ้างก็ตามน่าจะเจอกันอย่างถ้วนหน้า ทำไมเป็นแบบนั้น Facebook เขาไม่โฆษณาสินค้าหรือโปรโมทแบรนด์ให้เราเหรอ? เขาหลอกเราหรือเปล่า ?
ไม่ครับ Facebook หรือโซเชียลมีเดียอื่นๆอย่าง Line เขาก็ไม่ได้หลอกเรานะครับ กระบวนการกลไก อัลกอริทึม และ solution ที่เขานำมาให้เราใช้ในการทำโฆษณาสินค้าหรือแบรนด์ของเรา เป็นไปอย่างดีไม่มีปัญหา และมีประสิทธิภาพดีเกินกว่าที่เราคิดด้วย เพราะเขาสามารถเจาะตลาดให้เราได้ตั้งเริ่มสร้างแบรนด์ไปจนถึงการกระจายบทความโฆษณาไปยังกลุ่มลูกค้าเก่าที่เล็กที่สุดให้เราได้ด้วย แล้วมันเกิดความผิดพลาดตรงไหน? คำตอบก็คือ ผู้ประกอบการส่วนใหญ่เลือกใช้เครื่องมือทางการตลาดออนไลน์ หรือ ใช้วิธีการทำ Digital Marketing ไม่ถูกต้องนั่นเอง
สิ่งที่ต้องเข้าใจก็คือ เครื่องมือทางการตลาดออนไลน์แต่ละแบบนั้น มักจะให้ผลลัพธ์หรือผลสะท้อนกลับมาในแบบที่เหมือนกันบ้างและแตกต่างกันบ้าง ที่แน่นอนเลยก็คือ งบประมาณที่ต้องใช้ในการลงทุนโฆษณาสินค้าหรือแบรนด์ผ่านการตลาดออนไลน์ออนไลน์เหล่านี้ไม่เท่ากัน บางอย่างต้องใช้งบสูงมาก บางอย่างก็ปรับงบประมาณให้ลื่นไหลสอดคล้องตามสภาพธุรกิจองค์กรได้ง่าย มาดูกันดีกว่าว่าแต่ละแบบ ให้ผลลัพธ์ที่แตกต่างกันอย่างไรบ้าง
ซึ่งคุณจะเห็นว่า Content Marketing เป็นสิ่งที่ให้ผลลัพธ์ต่อธุรกิจได้ครอบคลุม เนื่องจากว่า Content Marketing เป็นรูปแบบหรือเนื้อใน ส่วนการตลาดออนไลน์ในแบบอื่นๆนั้น จะให้อารมณ์แบบแพลตฟอร์มมากกว่า ซึ่งไม่ว่าคุณจะใช้แพลตฟอร์มอะไร สิ่งสำคัญก็คือ เนื้อหาด้านในของคุณมีอะไร นั่นหมายความว่า Content Marketing สามารถนำไปใช้กับอะไรก็ได้ จะทำบทความโฆษณา ในการโฆษณาสินค้าหรือบริการของคุณก็ได้ จะเขียนเป็นบทความแบบ SEO ก็ได้ จะผูกเป็นเรื่องราวโดยใช้เทคนิค story telling แล้วให้ Brand Influencer ซุป’ตาร์ขวัญใจ เน็ตไอดอล Vlogger หรือ YouTuber คนดังเอาไปพรีเซนต์ก็ได้ ซึ่งดีกว่าด้วย เพราะเป็นรูปแบบการนำเสนอที่น่าสนใจและแตกต่างกว่า การให้ Brand Influencer เอาไปรีวิวเฉยๆหรือจะแปลงเป็นภาพสวย ๆ เป็น info แล้วส่งเป็น Email Marketing ไปให้ลูกค้าก็ยังได้ นั่นเท่ากับว่า Content Marketing สามารถแผ่ขยายและแทรกซึมไปได้ทุกช่องทางทุกแพลตฟอร์ม ยิ่งถ้าใช้เทคนิค story telling เข้าช่วยยิ่งทำให้ผู้อ่าน ผู้ชม ผู้ฟังรู้สึกว่าเข้าถึงง่ายมากขึ้นด้วย เท่ากับว่าคุณโฆษณาสินค้าโดยไม่ยัดเยียดพวกเขาแล้วยังมอบคุณค่าให้กับพวกเขาด้วย แบบนี้จึงช่วยให้ผู้บริโภคตัดสินใจซื้อได้ง่ายขึ้น คุณก็ปิดการขายได้ง่ายมากขึ้นนั่นเอง
ฉะนั้น ถ้าคุณต้องการโฆษณาสินค้าอย่างได้ผล โฆษณาแล้วมียอดขายเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ปิดการขายในทุกยอดได้ไม่ยาก การทำ Content Marketing ด้วยเทคนิค story telling จึงเป็นทางเลือกที่น่าสนใจ และหากคุณไม่ต้องการเสี่ยงกับการลงทุนโฆษณาสินค้าและแบรนด์ด้วยจำนวนเม็ดเงินที่มากเกินไป การเลือกทำ story telling ผ่านบทความเป็นอะไรที่น่าจะตอบโจทย์คุณได้ดี คุณภาพดีเท่ากันแต่ใช้งบประมาณและต้นทุนน้อยกว่าแบบอื่น ๆ อย่างนี้แล้วคุณน่าจะลองพิจารณากันดูนะครับ
เกร็ดแถมท้าย
เชื่อว่าหลายคนอาจจะเคยลองใช้บทความในการทำโฆษณาสินค้า หรือใช้เป็นช่องทางในการประชาสัมพันธ์แบรนด์กันมาบ้าง หลายครั้งที่บทความมีเนื้อหาดี เรียกว่า Content เยี่ยมเลยทีเดียวล่ะ มีคนอ่านมากแชร์มาก แต่ไม่ว่ายังไงก็ไม่สามารถทำให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อได้สักที ซึ่งเรื่องนี้เกิดขึ้นได้ และอาจเป็นเพราะองค์ประกอบหลายอย่าง ซึ่งอาจเป็นเพราะ
1.ลูกค้ารู้สึกว่า Product หรือ Services ของคุณยังไม่เหมาะกับเขา อาจเป็นไปได้ทั้ง สินค้าและบริการยังไม่ใช่ ราคาที่สูงเกินไปหรือถูกเกินไป เป็นต้น
2. ลูกค้ายังไม่มั่นใจ เพราะแบรนด์คุณใหม่ หรือเป็นแบรนด์เก่า ออกผลิตภัณฑ์ใหม่แล้วลูกค้ายังติดของเก่าอยู่
3. ลูกค้ายังมองไม่เห็นความจำเป็น หรือ พวกเขายังรู้สึกว่าไม่จำเป็นในตอนนี้
4. โปรโมชั่น หรือ แคมเปญ ยังไม่น่าสนใจ
5. ขั้นตอนการสั่งซื้อสินค้ายุ่งยากซับซ้อนเกินไป เช่น กระบวนการซับซ้อน ต้องกรอกรายละเอียดเยอะเกินไป มีหลายขั้นตอน (คนไทยชอบอะไรที่ง่าย ๆ แต่ไม่ค่อยคำนึงถึงความปลอดภัย ตรงนี้ผู้ประกอบการก็ควรมีพื้นที่อธิบายถึงความจำเป็นที่ต้องทำให้วับซ้อนด้วย) หรือ ลูกค้าต้องไปซื้อที่จุดขายสินค้าเฉพาะอย่างเดียว
6. ระบบการชำระเงินไม่สะดวก และการจัดส่งที่มักมีความผิดพลาดล่าช้า